วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2558

อบรมบ่มนิสัย ตอน กิจกรรมยามว่างหลังเลิกเรียน

เด็กๆที่เรียนระดับประถมศึกษาในฟินแลนด์มีชั่วโมงเรียนไม่มาก ตารางเรียนส่วนใหญ่จะเริ่มในตอนเช้าคือแปดโมง และเลิกเรียนอย่างช้าที่สุดไม่เกินบ่ายสามโมง แต่ละวันมีชั่วโมงเรียนคาบละสี่สิบห้านาที ไม่เกินห้าคาบ มีเวลาพักระหว่างคาบสิบห้านาที โดยนักเรียนทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตึกเรียนระหว่างช่วงพัก เพราะมีกฎบังคับให้นักเรียนทุกคนออกไปวิ่งเล่น  เดินยืดเส้นยืดสายหรือทานของว่างที่เตรียมมาจากบ้านนอกห้องเรียน  จากนั้นจะมีพักทานอาหารกลางวันยี่สิบนาทีโดยแต่ละชั้นเรียนจะพักทานอาหารสลับกันตามคิวที่โรงเรียนจัดให้ เหตุเพราะโรงอาหารไม่สามารถจุนักเรียนได้พร้อมกันทั้งโรงเรียน

 เด็กชายไทเลอร์

ขณะนี้เด็กชายไทเลอร์กำลังเรียนชั้นป.สี่ (4.luokka) ห้อง A (4A) โรงเรียน Kartanon และนี่คือตัวอย่างของตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง (เดือนส.ค. 2015 - เม.ย. ปี 2016) จะเห็นว่าบางวันมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงบ่ายโมง และบางวันเริ่มเรียนสายหน่อย คือเก้าหรือสิบโมงเช้าและเลิกเรียนบ่ายโมง ส่วนวันพุธไทเลอร์ต้องแยกออกมาเรียนวิชาภาษาไทยเพิ่มเข้ามาในตอนเช้าเวลาแปดโมง เพราะถือเป็นวิชาภาษาแม่ของไทเลอร์ วิชาภาษาไทยมีคุณครูคนไทยจัดสอนในอีกโรงเรียนหนึ่ง และนักเรียนจะเดินทางไปเรียนชั่วโมงนี้ด้วยตัวเอง และต้องกลับมาเรียนวิชาต่อไปในห้องเรียนตามตาราง (คุณแม่จะเขียนเล่าเกี่ยวกับวิชานี้อีกครั้งในโอกาสต่อไป) ดังนั้นวันพุธจึงเป็นวันที่ยาวนานที่สุดของไทเลอร์ เพราะเรียนถึงห้าวิชารวมทั้งหมดเจ็ดคาบ ทุกวันพุธแม่จึงต้องกำกับให้ลูกเตรียมของว่างติดกระเป๋าไปด้วยทุกครั้ง

ตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง ห้อง 4A (เดือนส.ค. - เม.ย.)
Elämänkatsomustieto = วิชาคำสอนและปรัชญาการใช้ชีวิต(คล้ายๆวิชาศาสนา)
Äidinkieli = วิชาภาษาฟินนิช
Matematiikka = วิชาคณิตศาสตร์
Biologia/Maantieto = วิชาชีววิทยาและภูมิศาสตร์
Tekstiili-/Tekninentyö = วิชางานตัดเย็บและงานช่าง
Englanti = วิชาภาษาอังกฤษ
Liikunta = วิชาพลศึกษา
Musiikki = วิชาดนตรี
Kuvaamataito = วิชาศิลปะวาดเขียน
Thain Kieli = วิชาภาษาไทย
Tukiopetus = ชั่วโมงเรียนเสริม สำหรับเด็ก
ที่เรียนช้ากว่าเพื่อน หรือต้องเรียนเสริมในบางวิชา

ในเมื่อบางวันเลิกช้า บางวันเลิกเร็ว และบางครั้งมีซ้อมฟุตบอลหรือมีแข่งฟุตบอลในตอนเย็น แล้วกว่าแม่จะเลิกงานกลับถึงบ้านก็เกือบสี่โมงเย็น ไทเลอร์ควรใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนในระหว่างที่รอแม่กลับบ้านอย่างไรล่ะ

ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ไทเลอร์จะใช้เวลาเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียน อาจแวะบ้านเพื่อนเพื่อเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ หรือบางครั้งเล่นฟุตบอลกันที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน แต่เล่นเพลินจนลืมเวลากลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเกือบทุกครั้งลูกจะลืมเผื่อเวลาทำการบ้านหรือช่วยงานบ้านก่อนถึงเวลาซ้อมฟุตบอล จนทำให้แม่หงุดหงิดเพราะต้องคอยโทร.ตาม ต้องเตือนและบ่นอยู่ทุกวัน ห้ามไม่ให้เล่นกับเพื่อนก็เหมือนยิ่งยุ เพราะลูกยิ่งต่อต้านจนกระทั่งแม่ทนไม่ไหว แม่กับพ่อจึงปรึกษากันเพื่อหาทางออก และก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรเข้มงวดกับลูกมากนัก แต่ควรวางกรอบเพื่อให้เค้าอยู่ในระเบียบและในขณะเดียวกันก็ฝึกวินัยไปด้วย

พวกเราจึงจัดตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียน (vapaa aikaa) โดยปล่อยให้เค้าเลือกทำกิจกรรมที่เค้าต้องการ กับเพื่อนหรือทำคนเดียวก็ได้ โดยมีเวลากำกับและมีข้อแม้ว่าต้องแจ้งให้แม่รู้ทุกครั้งหลังเลิกเรียนว่าจะไปที่ไหน กับใคร และต้องกลับบ้าน หรือไปรับกุญแจบ้านจากแม่ (แม่ทำงานห่างจากบ้านเป็นระยะทางเพียงแค่ห้านาที) ให้ตรงเวลาตามที่กำหนดในตาราง ชั่วโมงว่างจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ต้องทำในช่วงเย็นของวันนั้น เช่น ทุกวันจันทร์มีซ้อมฟุตบอลประมาณหกโมงเย็น ลูกจึงได้รับเวลาว่างหลังเลิกเรียนน้อยหน่อย เพราะต้องรีบกลับมาทำการบ้าน ช่วยงานบ้าน ทานอาหารและเตรียมตัวเดินทางไปสนามฟุตบอล ส่วนวันอังคารและวันศุกร์จะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลาเตรียมตัวเพื่อซ้อมหรือแข่งฟุตบอล เป็นต้น
กฎระเบียบที่วางไว้ คือ เมื่อลูกสามารถทำตามตารางได้อย่างมีวินัยโดยไม่งอแง ลูกจะได้รับรางวัล (อาจได้รับค่าขนม หรือ สะสมเวลาเล่นเกมส์กด เป็นต้น) และในทางกลับกันหากลูกขาดวินัย กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ(ด้วยการงดเวลาว่างของอาทิตย์ถัดไป และต้องทำงานบ้านชดเชย เป็นต้น)


Ajoissa pysymisestä seuraa palkinto. - หากกลับตรงเวลาลูกจะได้รับรางวัล
Myöhästymisestä seuraa rangaistus. - เมื่อ
กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ

Haet avaimet  - เดินไปรับกุญแจจากที่ทำงานของแม่
Tulet kotiin - กลับมาพบกันที่บ้าน เนื่องจากแม่กำลังจะเดินกลับถึงบ้าน

ผลปรากฎว่าไทเลอร์ปฏิบัติตัวได้ดี บางวันลูกใช้เวลาหมดไปกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์กับเพื่อน และบางวันลูกขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือในห้องสมุด ประเด็นสำคัญคือ ลูกไม่งอแงขอเวลาเล่นกับเพื่อน เพราะรู้ว่าในแต่ละวันตัวเองทำกิจกรรมอิสระได้กี่ชั่วโมง จึงสามารถวางแผนเลือกกิจกรรมและจัดสรรเวลากับเพื่อนได้ล่วงหน้า
และส่วนใหญ่ลูกกลับบ้านได้ตรงเวลาตามที่ตกลงกัน พ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้ หรือกังวลใจในวันที่ลูกมีคาบเรียนน้อย เพราะเข้าใจตรงกันว่าลูกต้องกลับบ้านเวลาไหน และหากลูกไม่ปฏิบัติตามตาราง เช่นกลับบ้านช้าอย่างผิดสังเกต พ่อและแม่สามารถเดาได้ว่าอาจมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับลูก เช่น ลูกกลับบ้านช้ามากและไม่ส่งข้อความมาบอกแม่ตามปรกติเพราะมือถือของลูกหล่นหาย เป็นต้น

ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้มีข้อดี คือ
1. ลูกมีอิสระทำกิจกรรมส่วนตัวหลังเลิกเรียน จึงช่วยลดความกดดันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
2. ลูกฝึกการมีวินัย เมื่อต้องปฏิบัติตามข้อตกลงตามตารางอย่างเป็นกิจวัตร เช่น การส่งข้อความมาบอกแม่ว่าทำอะไร ที่ไหน กับใคร
3. 
ลูกฝึกการตรงต่อเวลา เมื่อมีเวลากำกับว่าต้องกลับถึงบ้านกี่โมง และจะได้รับโทษเมื่อกลับไม่ตรงเวลา ลูกจึงต้องวางแผนทำกิจกรรมเพื่อที่จะไม่ใช้เวลาเกินกำหนด
4. สุขภาพจิตของลูก รวมทั้งพ่อและแม่ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อไม่ใช้การบังคับ ขู่เข็ญ หรือเข้มงวดมากเกินไป

จนกระทั่งบัดนี้ยังหาข้อเสียไม่เจอ นอกจากบางวันอาจมีข้อยกเว้น เช่น ลูกเรียนเพียงครึ่งวันเช้าเพราะช่วงบ่ายโรงเรียนจัดการประชุมครูผู้สอน ลูกอาจขอเพิ่มชั่วโมงว่างในวันนั้น ในกรณีนี้แม่ต้องใช้วิจารณญานในการตัดสินใจเพื่อจัดสรรเวลาว่างอย่างพอดีแก่ลูก เพราะอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญของการนำตารางนี้มาใช้ คือ เพื่อให้โอกาสลูกทำกิจกรรมยามว่างอย่างอิสระ  โดยอยู่ในขอบเขตที่พ่อและแม่เห็นชอบ อันหมายถึงกิจกรรมที่เหมาะตามวัยภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม รวมถึงเพื่อนที่ลูกทำกิจกรรมด้วยก็ควรมีอิทธิพลในทางบวกกับลูกด้วยเช่นกัน พ่อและแม่จึงมีหน้าที่กำกับดูแลขอบเขตนี้ไม่ให้เกินสมดุล เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูก

สรุปว่า ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้ใช้แก้ปัญหาได้ตรงจุดทีเดียว
ลูกชายคนนี้ต่อต้านน้อยลง และปฏิบัติตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกได้เรียนรู้ว่า พ่อและแม่เคารพสิทธิและใส่ใจความต้องการของลูก และเหนือสิ่งอื่นใดเราปฏิบัติต่อลูกอย่างเท่าเทียม

2 ความคิดเห็น:

  1. ต้องแอบมาปรึกษาวิธีเลี้ยงลูกด้วยละ

    ตอบลบ
  2. ฝ้ายเอ้ย กว่าจะมาถึงจุดนี้ชั้นก็อาศัยการลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ สำเร็จบ้างแต่ก็ล้มเหลวซะเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งลูกโตขึ้นพ่อแม่ก้ต้องปรับตัวปรับใจตามวัยของเค้า ชั้นเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรเลยนะ คงจะให้คำปรึกษาใครได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ชั้นเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่และยินดีรับฟังเพื่อนเสมอ ม่ะมีอะไรอยากปรับทุกข์ก็เล่ามา

    ตอบลบ