วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2558

อบรมบ่มนิสัย ตอน กิจกรรมยามว่างหลังเลิกเรียน

เด็กๆที่เรียนระดับประถมศึกษาในฟินแลนด์มีชั่วโมงเรียนไม่มาก ตารางเรียนส่วนใหญ่จะเริ่มในตอนเช้าคือแปดโมง และเลิกเรียนอย่างช้าที่สุดไม่เกินบ่ายสามโมง แต่ละวันมีชั่วโมงเรียนคาบละสี่สิบห้านาที ไม่เกินห้าคาบ มีเวลาพักระหว่างคาบสิบห้านาที โดยนักเรียนทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตึกเรียนระหว่างช่วงพัก เพราะมีกฎบังคับให้นักเรียนทุกคนออกไปวิ่งเล่น  เดินยืดเส้นยืดสายหรือทานของว่างที่เตรียมมาจากบ้านนอกห้องเรียน  จากนั้นจะมีพักทานอาหารกลางวันยี่สิบนาทีโดยแต่ละชั้นเรียนจะพักทานอาหารสลับกันตามคิวที่โรงเรียนจัดให้ เหตุเพราะโรงอาหารไม่สามารถจุนักเรียนได้พร้อมกันทั้งโรงเรียน

 เด็กชายไทเลอร์

ขณะนี้เด็กชายไทเลอร์กำลังเรียนชั้นป.สี่ (4.luokka) ห้อง A (4A) โรงเรียน Kartanon และนี่คือตัวอย่างของตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง (เดือนส.ค. 2015 - เม.ย. ปี 2016) จะเห็นว่าบางวันมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงบ่ายโมง และบางวันเริ่มเรียนสายหน่อย คือเก้าหรือสิบโมงเช้าและเลิกเรียนบ่ายโมง ส่วนวันพุธไทเลอร์ต้องแยกออกมาเรียนวิชาภาษาไทยเพิ่มเข้ามาในตอนเช้าเวลาแปดโมง เพราะถือเป็นวิชาภาษาแม่ของไทเลอร์ วิชาภาษาไทยมีคุณครูคนไทยจัดสอนในอีกโรงเรียนหนึ่ง และนักเรียนจะเดินทางไปเรียนชั่วโมงนี้ด้วยตัวเอง และต้องกลับมาเรียนวิชาต่อไปในห้องเรียนตามตาราง (คุณแม่จะเขียนเล่าเกี่ยวกับวิชานี้อีกครั้งในโอกาสต่อไป) ดังนั้นวันพุธจึงเป็นวันที่ยาวนานที่สุดของไทเลอร์ เพราะเรียนถึงห้าวิชารวมทั้งหมดเจ็ดคาบ ทุกวันพุธแม่จึงต้องกำกับให้ลูกเตรียมของว่างติดกระเป๋าไปด้วยทุกครั้ง

ตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง ห้อง 4A (เดือนส.ค. - เม.ย.)
Elämänkatsomustieto = วิชาคำสอนและปรัชญาการใช้ชีวิต(คล้ายๆวิชาศาสนา)
Äidinkieli = วิชาภาษาฟินนิช
Matematiikka = วิชาคณิตศาสตร์
Biologia/Maantieto = วิชาชีววิทยาและภูมิศาสตร์
Tekstiili-/Tekninentyö = วิชางานตัดเย็บและงานช่าง
Englanti = วิชาภาษาอังกฤษ
Liikunta = วิชาพลศึกษา
Musiikki = วิชาดนตรี
Kuvaamataito = วิชาศิลปะวาดเขียน
Thain Kieli = วิชาภาษาไทย
Tukiopetus = ชั่วโมงเรียนเสริม สำหรับเด็ก
ที่เรียนช้ากว่าเพื่อน หรือต้องเรียนเสริมในบางวิชา

ในเมื่อบางวันเลิกช้า บางวันเลิกเร็ว และบางครั้งมีซ้อมฟุตบอลหรือมีแข่งฟุตบอลในตอนเย็น แล้วกว่าแม่จะเลิกงานกลับถึงบ้านก็เกือบสี่โมงเย็น ไทเลอร์ควรใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนในระหว่างที่รอแม่กลับบ้านอย่างไรล่ะ

ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ไทเลอร์จะใช้เวลาเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียน อาจแวะบ้านเพื่อนเพื่อเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ หรือบางครั้งเล่นฟุตบอลกันที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน แต่เล่นเพลินจนลืมเวลากลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเกือบทุกครั้งลูกจะลืมเผื่อเวลาทำการบ้านหรือช่วยงานบ้านก่อนถึงเวลาซ้อมฟุตบอล จนทำให้แม่หงุดหงิดเพราะต้องคอยโทร.ตาม ต้องเตือนและบ่นอยู่ทุกวัน ห้ามไม่ให้เล่นกับเพื่อนก็เหมือนยิ่งยุ เพราะลูกยิ่งต่อต้านจนกระทั่งแม่ทนไม่ไหว แม่กับพ่อจึงปรึกษากันเพื่อหาทางออก และก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรเข้มงวดกับลูกมากนัก แต่ควรวางกรอบเพื่อให้เค้าอยู่ในระเบียบและในขณะเดียวกันก็ฝึกวินัยไปด้วย

พวกเราจึงจัดตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียน (vapaa aikaa) โดยปล่อยให้เค้าเลือกทำกิจกรรมที่เค้าต้องการ กับเพื่อนหรือทำคนเดียวก็ได้ โดยมีเวลากำกับและมีข้อแม้ว่าต้องแจ้งให้แม่รู้ทุกครั้งหลังเลิกเรียนว่าจะไปที่ไหน กับใคร และต้องกลับบ้าน หรือไปรับกุญแจบ้านจากแม่ (แม่ทำงานห่างจากบ้านเป็นระยะทางเพียงแค่ห้านาที) ให้ตรงเวลาตามที่กำหนดในตาราง ชั่วโมงว่างจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ต้องทำในช่วงเย็นของวันนั้น เช่น ทุกวันจันทร์มีซ้อมฟุตบอลประมาณหกโมงเย็น ลูกจึงได้รับเวลาว่างหลังเลิกเรียนน้อยหน่อย เพราะต้องรีบกลับมาทำการบ้าน ช่วยงานบ้าน ทานอาหารและเตรียมตัวเดินทางไปสนามฟุตบอล ส่วนวันอังคารและวันศุกร์จะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลาเตรียมตัวเพื่อซ้อมหรือแข่งฟุตบอล เป็นต้น
กฎระเบียบที่วางไว้ คือ เมื่อลูกสามารถทำตามตารางได้อย่างมีวินัยโดยไม่งอแง ลูกจะได้รับรางวัล (อาจได้รับค่าขนม หรือ สะสมเวลาเล่นเกมส์กด เป็นต้น) และในทางกลับกันหากลูกขาดวินัย กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ(ด้วยการงดเวลาว่างของอาทิตย์ถัดไป และต้องทำงานบ้านชดเชย เป็นต้น)


Ajoissa pysymisestä seuraa palkinto. - หากกลับตรงเวลาลูกจะได้รับรางวัล
Myöhästymisestä seuraa rangaistus. - เมื่อ
กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ

Haet avaimet  - เดินไปรับกุญแจจากที่ทำงานของแม่
Tulet kotiin - กลับมาพบกันที่บ้าน เนื่องจากแม่กำลังจะเดินกลับถึงบ้าน

ผลปรากฎว่าไทเลอร์ปฏิบัติตัวได้ดี บางวันลูกใช้เวลาหมดไปกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์กับเพื่อน และบางวันลูกขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือในห้องสมุด ประเด็นสำคัญคือ ลูกไม่งอแงขอเวลาเล่นกับเพื่อน เพราะรู้ว่าในแต่ละวันตัวเองทำกิจกรรมอิสระได้กี่ชั่วโมง จึงสามารถวางแผนเลือกกิจกรรมและจัดสรรเวลากับเพื่อนได้ล่วงหน้า
และส่วนใหญ่ลูกกลับบ้านได้ตรงเวลาตามที่ตกลงกัน พ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้ หรือกังวลใจในวันที่ลูกมีคาบเรียนน้อย เพราะเข้าใจตรงกันว่าลูกต้องกลับบ้านเวลาไหน และหากลูกไม่ปฏิบัติตามตาราง เช่นกลับบ้านช้าอย่างผิดสังเกต พ่อและแม่สามารถเดาได้ว่าอาจมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับลูก เช่น ลูกกลับบ้านช้ามากและไม่ส่งข้อความมาบอกแม่ตามปรกติเพราะมือถือของลูกหล่นหาย เป็นต้น

ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้มีข้อดี คือ
1. ลูกมีอิสระทำกิจกรรมส่วนตัวหลังเลิกเรียน จึงช่วยลดความกดดันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
2. ลูกฝึกการมีวินัย เมื่อต้องปฏิบัติตามข้อตกลงตามตารางอย่างเป็นกิจวัตร เช่น การส่งข้อความมาบอกแม่ว่าทำอะไร ที่ไหน กับใคร
3. 
ลูกฝึกการตรงต่อเวลา เมื่อมีเวลากำกับว่าต้องกลับถึงบ้านกี่โมง และจะได้รับโทษเมื่อกลับไม่ตรงเวลา ลูกจึงต้องวางแผนทำกิจกรรมเพื่อที่จะไม่ใช้เวลาเกินกำหนด
4. สุขภาพจิตของลูก รวมทั้งพ่อและแม่ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อไม่ใช้การบังคับ ขู่เข็ญ หรือเข้มงวดมากเกินไป

จนกระทั่งบัดนี้ยังหาข้อเสียไม่เจอ นอกจากบางวันอาจมีข้อยกเว้น เช่น ลูกเรียนเพียงครึ่งวันเช้าเพราะช่วงบ่ายโรงเรียนจัดการประชุมครูผู้สอน ลูกอาจขอเพิ่มชั่วโมงว่างในวันนั้น ในกรณีนี้แม่ต้องใช้วิจารณญานในการตัดสินใจเพื่อจัดสรรเวลาว่างอย่างพอดีแก่ลูก เพราะอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญของการนำตารางนี้มาใช้ คือ เพื่อให้โอกาสลูกทำกิจกรรมยามว่างอย่างอิสระ  โดยอยู่ในขอบเขตที่พ่อและแม่เห็นชอบ อันหมายถึงกิจกรรมที่เหมาะตามวัยภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม รวมถึงเพื่อนที่ลูกทำกิจกรรมด้วยก็ควรมีอิทธิพลในทางบวกกับลูกด้วยเช่นกัน พ่อและแม่จึงมีหน้าที่กำกับดูแลขอบเขตนี้ไม่ให้เกินสมดุล เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูก

สรุปว่า ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้ใช้แก้ปัญหาได้ตรงจุดทีเดียว
ลูกชายคนนี้ต่อต้านน้อยลง และปฏิบัติตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกได้เรียนรู้ว่า พ่อและแม่เคารพสิทธิและใส่ใจความต้องการของลูก และเหนือสิ่งอื่นใดเราปฏิบัติต่อลูกอย่างเท่าเทียม

วันศุกร์, ธันวาคม 18, 2558

Baked To Bite : Baked Cornflake Crusted Chicken Strips


มื้อที่แล้วทำขนมทานเป็นอาหารว่างแล้ว มื้อนี้ขอเปลี่ยนมาเป็นอาหารคาวบ้าง และครั้งนี้ก็ยังไม่หลุดคอนเซ็ปต์เดิม คือ ทำง่าย วัตถุดิบหาง่าย หน้าตาน่ากิน และยังรสชาติอร่อยได้โล่ห์ อาหารจานนี้เป็นเมนูเนื้อไก่กรุบกรอบ และไม่มันเยิ้มเพราะไม่ได้ทอดในน้ำมัน แต่ทำให้สุกในเตาอบ แล้วมันจะกรอบสู้ไก่ทอดได้มั๊ย ยืนยันว่าสู้ได้แน่นอนเพราะเป็นไก่ที่คลุกด้วยแผ่นข้าวโพดอบกรอบ หรือคอร์นเฟลก นั่นเอง
เมนูนี้จึงได้ชื่อว่า Baked Cornflake Crusted Chicken Strips

ส่วนตัวคิดว่าเมนูนี้ไอเดียเก๋ เพราะ
1.ทำไก่ให้สุกและกรอบได้โดยไม่ใช้น้ำมัน จึงไม่มีปัญหาน้ำมันเยิ้ม 2.ไก่กรอบนานเพราะคลุกโดยทั่วด้วยคอร์นเฟลกที่กรอบอยู่แล้ว 3.ไม่ต้องกังวลว่าจะทอดออกมาเกรียมหรืออมน้ำมัน(เป็นปัญหาที่ตัวเองเจอบ่อย) และ
4.เมื่อทำทิ้งไว้จนเย็น แล้วนำไปอุ่นด้วยไมโครเวฟ คอร์นเฟลกที่ติดบนชิ้นไก่ก็ยังคงความกรอบไว้ได้ดี
เมนูนี้แนะนำเลยโดยเฉพาะบ้านที่ชอบทานไก่กรุบกรอบค่า :)


เครื่องปรุง ได้แก่ 
อกไก่ หั่นเป็นแถบยาว ความหนาพอดีๆ ประมาณ สิบชิ้น
ไข่ หนึ่งหรือสองฟอง
คอร์นเฟลกประมาณสามถ้วยเล็ก
เกลือครึ่งช้อนชา
ผักชีฝรั่งหรือผักชีไทยก็ได้ ประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก(สำหรับปรุงอาหาร) หนึ่งช้อนโต๊ะ
แป้งโกกิ สี่ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำนิดหน่อย

วิธีทำ ดูวิดีโอวิธีทำด้านล่างได้เลยจ้า

1) อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 200C ทิ้งไว้ เตรียมถาดอบที่ปูด้วยกระดาษเพื่อใช้อบให้เรียบร้อย ล้างเนื้อไก่ด้วยน้ำเย็นและซับให้แห้ง จากนั้นตัดเป็นชิ้นยาวให้มีความหนาประมาณครึ่งนิ้ว ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย

2) ตีไข่ในถ้วยใบเล็กแล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปกวนให้เข้ากัน วางทิ้งไว้ แล้วเทแป้งโกกิลงบนจาน เตรียมไว้

3) เทคอร์นเฟลกลงในถุงซิปล็อคแล้วบดให้เป็นชิ้นเล็กๆด้วยมือ หรือคลึงด้วยไม้นวดแป้ง จากนั้นเทลงในถาดลึกขนาดใหญ่ นำเกลือ พริกไทยและผักชีลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากับคอร์นเฟลก

4) นำไก่ที่หั่นลงไปคลุกกับแป้งโกกิ ไข่ และคอร์นเฟลกทีละชิ้นตามลำดับ แล้ววางเรียงลงบนถาดอบ
(สามารถใช้ซ้อมนวดกดคอร์นเฟลกเพื่อให้ติดชิ้นไก่ได้แน่นขึ้น)

5) นำถาดเข้าตู้อบ อบประมาณ 15 นาทีแล้วนำออกมาพลิกกลับชิ้นไก่แล้วนำเข้าอบอีก 15 นาที

6) เสริฟพร้อมน้ำจิ้มไก่




ขอบคุณสูตรจาก

Baked Cornflake Crusted Chicken Strips :: Home Cooking Adventure
http://www.homecookingadventure.com/recipes/baked-cornflake-crusted-chicken-strips

ดูวิธีทำจากวิดีโอ





วันอาทิตย์, ธันวาคม 13, 2558

Baked To Bite : No-Bake Chocolate Peanut Butter Bars

วันนี้ขอเสนอขนมหวานที่ทำง่ายมากโดยไม่ต้องใช้เตาอบ  
นั่นคือ No-Bake Chocolate Peanut Butter

รสชาติขมนิดๆมันนิดหน่อยๆ เพราะใช้ช็อคโกแลตแบบขม อร่อยไปอีกแบบ สำหรับคนที่ชอบหวานอาจเปลี่ยนสูตรเป็นช็อคโกแลตนมหรือเพิ่มน้ำตาลให้หวานแบบพอดี ทานเป็นอาหารว่างสำหรับเด็กๆ บอกได้เลยว่าอิ่มท้องมากเพราะใส่บิสกิต Digestive มีกากใยเยอะรวมทั้งเนยถั่วที่เต็มไปด้วยโปรตีน สูตรนี้แนะนำเลยค่ะ


ส่วนผสม มีดังนี้
บิสกิต Digestive 200 กรัม
เนยจืด 70 กรัม
เนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น หรือแบบผสมถั่วป่น 120 กรัม
ช็อคโกแลตรสหวานขม (ปริมาณโกโก้ 55% - 70%) 200 กรัม
เนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น 60 กรัม แบ่งเป็นสองส่วน




วิธีทำ ดูวิดีโอวิธีทำด้านล่างได้เลยจ้า
1. ป่นบิสกิตในเครื่องปั่นให้เป็นเกล็ดขนาดเล็ก เพิ่มเนยที่ละลายแล้วและเนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น หรือแบบผสมถั่วป่นส่วนแรกลงไปปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2. ทาพื้นถาดขนาด 20x20 ซม.และวางทับด้วยกระดาษไขสำหรับอบขนม โดยปล่อยริมกระดาษให้พ้นขอบถาดเพื่อความสะดวกในการแกะยกขนมออกจากถาด 
3. เทบิสกิตป่นที่ผสมแล้วลงไปในถาด ใช้ช้อนกดและเกลี่ยให้เป็นแนวราบและอยู่ในระดับเดียวกัน 
4. ละลายช็อคโกแลตผสมกับเนยถั่วสองช้อนโต๊ะ คนจนละลายเข้ากัน แยกละลายเนยถั่วที่เหลือให้เหลว เทช็อคโกแลตผสมเนยถั่วลงบนบิสกิตป่น เกลี่ยให้ทั่วแล้วตักเนยถั่วที่แยกละลายลงไปบนช็อคโกแลตและใช้ปลายมีดตวัดวาดริ้วจากเนยถั่วให้เป็นรูปร่างตัดกับช็อคโกแลตตามใจชอบ
5. นำขนมที่เตรียมแล้วแช่เย็นเป็นเวลาสองชั่วโมงเพื่อให้ขนมแข็งตัว นำออกจากตู้เย็นและวางในอุณหภูมิห้องสักสิบนาทีก่อนใช้มีดตัดเป็นชิ้นพร้อมเสริฟ สามารถเก็บได้ในช่องแช่แข็งเพื่อเสริฟครั้งต่อไป


ขอบคุณสูตรจาก  
http://www.homecookingadventure.com/recipes/no-bake-chocolate-peanut-butter-bars
ดูวิธีทำจากวิดีโอ




วันอาทิตย์, ธันวาคม 06, 2558

Finnish Independence Day December 6 : วันประกาศเอกราชของฟินแลนด์

สาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งจะมีอายุครบเก้าสิบแปดปี นับตั้งแต่ประกาศเอกราชในวันที่ 6 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1917 ก่อนหน้านั้นฟินแลนด์มีประวัติการถูกครอบครองโดยชาติเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน โดยเคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนอยู่หลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี ค.ศ. 1917 หรือ พ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย 

วันประกาศอิสรภาพของฟินแลนด์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์
และชาวฟินน์มีพิธีการเฉลิมฉลองดังนี้

1) เชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา หรือประดับบ้านด้วยธงชาติเมื่อเวลา 8 - 9 โมงเช้า

2) ในตอนกลางวัน สามารถร่วมเดินขบวนถือคบเพลิงในบริเวณโบสถ์หลักของเมือง ร่วมใจอธิฐานในโบสถ์ หรือนำเทียนไปจุด ณ สุสานหรืออนุสรณ์สถานสงคราม

3) จุดเทียนสีฟ้าขาว และวางไว้ริมหน้าต่าง




4) ชมภาพยนตร์เรื่อง Unknown Soldier [Tuntematon Sotilas (1955)] ที่เปิดฉายทางทีวีทุกปี



The Unknown Soldier
For over a decade now, a movie adaptation of 1955 version of The Unknown Soldier has also been a part of Finnish Independence Day. The film is based on Finnish author Väinö Linna's iconic novel, a story about the Continuation War between Finland and the Soviet Union in World War II, as told from the viewpoint of ordinary Finnish soldiers.
The film brought difficult themes to the fore in post-war Finland, at times contradicting a heroic narrative about the conflict. For that it was criticised and some editions were censored, but ordinary Finns made it a huge hit. It’s now a national classic—and an integral part of Independence Day.
For years the movie was shown on Yle in the afternoon, before the President’s Reception was scheduled to begin, but in 2012 a recommendation banning violent content on television during hours that children were watching forced Yle to push the broadcast back to five pm. After several complaints, the film’s showing time was pushed even farther back to 10 pm so as not to overlap with the reception broadcast. That brought a storm of criticism from commercial media, veterans and wider society.
In 2014 it was agreed that content appropriate for 7-12 year olds can be shown on television before nine. The Unknown Soldier has been given a K12 rating, so this year, the film will be shown once again in the afternoon, starting at 1:40 pm on channel one.

5) เชิญเพื่อนและครอบครัวมาทานอาหารเย็นที่บ้าน ที่จัดอย่างพิถีพิถัน ด้วยรสชาติฟินนิชแท้ดั้งเดิมแล้วเสริฟและตกแต่งด้วยธงชาติอันเล็ก

6) ตอนหัวค่ำ เปิดทีวีดูรายการถ่ายทอดสดงานเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราช (Linnan Juhlat) ที่จัดขึ้นทุกปี ณ ทำเนียบประธานาธิบดี  โดยมีประธานาธิบดีฟินแลนด์และคู่สมรสยืนสัมผัสมือ (Kätellä) ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมายังทีละคน ผู้ที่ได้รับเชิญส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ นักการเมือง ผู้บัญชาการทหาร ตำรวจยศสูง ผู้แทนจากต่างประเทศ รวมถึงผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศเช่น นักกีฬาเหรียญทองหรือศิลปิน




7) เชิญธงชาติลงจากยอดเสาและดับเทียนในเวลา 20.00 นาฬิกา

ขอบคุณที่มา :
http://yle.fi/uutiset/finnish_independence_day_galas_protests_and_war_memories/
http://www.wikihow.com/Celebrate-Finnish-Independence-Day

วันศุกร์, ธันวาคม 04, 2558

Kids don't come with instructions. : เด็กไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือ

คลิปบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคุณพ่อมือใหม่ ที่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) เมื่อภรรยาจากไป สิ่งที่เขาต้องเจอ และเรียนรู้เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล คลิกไปชมกันเลยค่ะ


Modern DaD
คลิปบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคุณพ่อมือใหม่ ที่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) เมื่อภรรยาจากไป สิ่งที่เขาต้องเจอ และเรียนรู้เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล คลิกไปชมกันเลยค่ะ
Posted by momypedia on Friday, December 4, 2015


ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ความยากลำบากมันก็ไม่ต่างกันมากหรอก ยิ่งไม่มีสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆคอยช่วยเหลือ ความเหนื่อยล้า ความท้อแท้ ความสับสนมันยิ่งมีมากกว่าหลายเท่า แต่ความสุขในการดูแล การเรียนรู้ การทำความรู้จักลูก และการเติบโตไปด้วยกันมันมีคุณค่าเหนือสิ่งใด และเหนือกาลเวลา

เล่าจากประสบการณ์ของตัวเองในการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเลยว่า กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตจนกระทั่งเค้าช่วยเหลือตัวเองได้เนี่ย มันต้องใช้ความอดทนเหนือคำบรรยายจริงๆ มันคือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข คือสายใยและบ่วง มันคือน้ำตาปนเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ผูกมัดด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ เราได้เรียนรู้ความจริงที่ว่า ลูกคือกระจกสะท้อนตัวเราเอง เค้าคือ Mini-Me ของเรา มีหลายครั้งที่เค้าเตือนให้นึกถึงสิ่งที่เราเคยเป็นและเคยทำในวัยเด็กที่เราอาจลืมไปแล้ว บทเรียนที่เราได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งคือ การเลี้ยงลูกไม่มีสูตรตายตัว ลูกไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือ ไม่มีบทที่ว่าด้วยการดูแลรักษา maintenance หรือวิธี reset เมื่อลูกเกิดอาการ error สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ เลี้ยงเค้าในแบบของตัวเอง ด้วยสัญชาตญานของเราเอง โดยไม่มีการตระเตรียมตัวล่วงหน้า  [Kids don't come with instructions. We all mess up. Raising a child is pure impromptu. - Harlan Coben, Just One Look] แน่นอนที่ว่าเราตัดสินใจพลาดหลายครั้ง เราอาจเลี้ยงเค้าแบบผิดวิธีโดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งเรามองข้ามความละเอียดอ่อนและความขาวสะอาดของเด็ก และบ่อยครั้งเราป้ายทาอารมณ์ความรู้สึกรุนแรงของเราลงไปบนผ้าขาวของลูก โดยไม่ตระหนักว่าไม่ว่าจะขัดถูอย่างไร ผ้าผืนนั้นจะไม่มีวันขาวสะอาดเหมือนเดิม ...เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทำผิด เราพูดผิด เราทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา แต่ในเวลาเดียวกันเราก็เรียนรู้ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดเพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับลูก

สิบปีที่ผ่านมาแม่รู้ตัวว่าไม่ใช่แม่ที่ใจดี อ่อนหวาน อดทน แม่เข้มงวด เจ้าอารมณ์ กราดเกรี้ยวและเคยตีลูกทั้งน้ำตามาแล้วหลายครั้ง แต่แม่รู้ว่ายิ่งอายุมากขึ้นแม่ก็ใจเย็นลง และตอนนี้คุยกับลูกด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดไปพร้อมๆกับลูก
เลอร์รู้มั๊ยว่าแม่ไม่เคยหยุดรักลูก ไม่มีแม้เพียงวินาทีเดียวที่จะไม่เจ็บปวดเมื่อรู้ว่าลูกเจ็บป่วย ร้องไห้ เศร้าใจหรือทุกข์ทรมาน และไม่มีครั้งใดที่จะหัวใจของแม่จะไม่พองโตด้วยความภาคภูมิใจเมื่อลูกหัวเราะ มีความสุขหรือประสบความสำเร็จ แม้ว่าแม่จะมีวีธีแสดงความรักแตกต่างจากคนอื่น แต่สิ่งเดียวที่แม่และพ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้มีเหมือนกัน คือ เราทุกคนสละชีวิตของเราได้เพื่อลูก แม่รักเลอร์และขอให้ลูกจำไว้ว่าไม่ว่าลูกจะเกิดมาโดยขาดพ่อ แต่ลูกได้รับความรักของแม่ไปทั้งใจและทั้งชีวิต และคนๆนี้จะอยู่เคียงข้างลูกตลอดไป
และในวันนี้เมื่อลูกมีคุณพ่อคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาช่วยแม่ดูแล ปกป้องและห่วงใยลูกอีกคนหนึ่ง คุณพ่อคนนี้จะสอนลูกให้เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ และเค้าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการเติบโตเป็นลูกผู้ชาย ขอให้ลูกเข้าใจว่าเค้าอาจไม่เข้าใจลูก หรือรักลูกในแบบเดียวกันกับแม่ แต่อย่างน้อยเค้ามีความพยายามที่จะทำความรู้จักลูก อดทน ยื่นมือเข้าช่วย เอาใจใส่และทุ่มเทให้ลูกเป็นในสิ่งที่ลูกอยากเป็นในอนาคต เค้าคนนี้จะคอยเติมเต็มส่วนที่เป็นความบกพร่องของแม่ เราทั้งสองคือทีมเดียวกันและเราจะช่วยกันดูแลลูก 
แม่ดีใจที่ต่อจากนี้ไปชีวิตของลูกจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 
รัก... แม่