วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2558

อบรมบ่มนิสัย ตอน กิจกรรมยามว่างหลังเลิกเรียน

เด็กๆที่เรียนระดับประถมศึกษาในฟินแลนด์มีชั่วโมงเรียนไม่มาก ตารางเรียนส่วนใหญ่จะเริ่มในตอนเช้าคือแปดโมง และเลิกเรียนอย่างช้าที่สุดไม่เกินบ่ายสามโมง แต่ละวันมีชั่วโมงเรียนคาบละสี่สิบห้านาที ไม่เกินห้าคาบ มีเวลาพักระหว่างคาบสิบห้านาที โดยนักเรียนทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตึกเรียนระหว่างช่วงพัก เพราะมีกฎบังคับให้นักเรียนทุกคนออกไปวิ่งเล่น  เดินยืดเส้นยืดสายหรือทานของว่างที่เตรียมมาจากบ้านนอกห้องเรียน  จากนั้นจะมีพักทานอาหารกลางวันยี่สิบนาทีโดยแต่ละชั้นเรียนจะพักทานอาหารสลับกันตามคิวที่โรงเรียนจัดให้ เหตุเพราะโรงอาหารไม่สามารถจุนักเรียนได้พร้อมกันทั้งโรงเรียน

 เด็กชายไทเลอร์

ขณะนี้เด็กชายไทเลอร์กำลังเรียนชั้นป.สี่ (4.luokka) ห้อง A (4A) โรงเรียน Kartanon และนี่คือตัวอย่างของตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง (เดือนส.ค. 2015 - เม.ย. ปี 2016) จะเห็นว่าบางวันมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงบ่ายโมง และบางวันเริ่มเรียนสายหน่อย คือเก้าหรือสิบโมงเช้าและเลิกเรียนบ่ายโมง ส่วนวันพุธไทเลอร์ต้องแยกออกมาเรียนวิชาภาษาไทยเพิ่มเข้ามาในตอนเช้าเวลาแปดโมง เพราะถือเป็นวิชาภาษาแม่ของไทเลอร์ วิชาภาษาไทยมีคุณครูคนไทยจัดสอนในอีกโรงเรียนหนึ่ง และนักเรียนจะเดินทางไปเรียนชั่วโมงนี้ด้วยตัวเอง และต้องกลับมาเรียนวิชาต่อไปในห้องเรียนตามตาราง (คุณแม่จะเขียนเล่าเกี่ยวกับวิชานี้อีกครั้งในโอกาสต่อไป) ดังนั้นวันพุธจึงเป็นวันที่ยาวนานที่สุดของไทเลอร์ เพราะเรียนถึงห้าวิชารวมทั้งหมดเจ็ดคาบ ทุกวันพุธแม่จึงต้องกำกับให้ลูกเตรียมของว่างติดกระเป๋าไปด้วยทุกครั้ง

ตารางเรียนของไทเลอร์ภาคฤดูใบไม้ร่วง ห้อง 4A (เดือนส.ค. - เม.ย.)
Elämänkatsomustieto = วิชาคำสอนและปรัชญาการใช้ชีวิต(คล้ายๆวิชาศาสนา)
Äidinkieli = วิชาภาษาฟินนิช
Matematiikka = วิชาคณิตศาสตร์
Biologia/Maantieto = วิชาชีววิทยาและภูมิศาสตร์
Tekstiili-/Tekninentyö = วิชางานตัดเย็บและงานช่าง
Englanti = วิชาภาษาอังกฤษ
Liikunta = วิชาพลศึกษา
Musiikki = วิชาดนตรี
Kuvaamataito = วิชาศิลปะวาดเขียน
Thain Kieli = วิชาภาษาไทย
Tukiopetus = ชั่วโมงเรียนเสริม สำหรับเด็ก
ที่เรียนช้ากว่าเพื่อน หรือต้องเรียนเสริมในบางวิชา

ในเมื่อบางวันเลิกช้า บางวันเลิกเร็ว และบางครั้งมีซ้อมฟุตบอลหรือมีแข่งฟุตบอลในตอนเย็น แล้วกว่าแม่จะเลิกงานกลับถึงบ้านก็เกือบสี่โมงเย็น ไทเลอร์ควรใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนในระหว่างที่รอแม่กลับบ้านอย่างไรล่ะ

ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ไทเลอร์จะใช้เวลาเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียน อาจแวะบ้านเพื่อนเพื่อเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ หรือบางครั้งเล่นฟุตบอลกันที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน แต่เล่นเพลินจนลืมเวลากลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง และเกือบทุกครั้งลูกจะลืมเผื่อเวลาทำการบ้านหรือช่วยงานบ้านก่อนถึงเวลาซ้อมฟุตบอล จนทำให้แม่หงุดหงิดเพราะต้องคอยโทร.ตาม ต้องเตือนและบ่นอยู่ทุกวัน ห้ามไม่ให้เล่นกับเพื่อนก็เหมือนยิ่งยุ เพราะลูกยิ่งต่อต้านจนกระทั่งแม่ทนไม่ไหว แม่กับพ่อจึงปรึกษากันเพื่อหาทางออก และก็มีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรเข้มงวดกับลูกมากนัก แต่ควรวางกรอบเพื่อให้เค้าอยู่ในระเบียบและในขณะเดียวกันก็ฝึกวินัยไปด้วย

พวกเราจึงจัดตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียน (vapaa aikaa) โดยปล่อยให้เค้าเลือกทำกิจกรรมที่เค้าต้องการ กับเพื่อนหรือทำคนเดียวก็ได้ โดยมีเวลากำกับและมีข้อแม้ว่าต้องแจ้งให้แม่รู้ทุกครั้งหลังเลิกเรียนว่าจะไปที่ไหน กับใคร และต้องกลับบ้าน หรือไปรับกุญแจบ้านจากแม่ (แม่ทำงานห่างจากบ้านเป็นระยะทางเพียงแค่ห้านาที) ให้ตรงเวลาตามที่กำหนดในตาราง ชั่วโมงว่างจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ต้องทำในช่วงเย็นของวันนั้น เช่น ทุกวันจันทร์มีซ้อมฟุตบอลประมาณหกโมงเย็น ลูกจึงได้รับเวลาว่างหลังเลิกเรียนน้อยหน่อย เพราะต้องรีบกลับมาทำการบ้าน ช่วยงานบ้าน ทานอาหารและเตรียมตัวเดินทางไปสนามฟุตบอล ส่วนวันอังคารและวันศุกร์จะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลาเตรียมตัวเพื่อซ้อมหรือแข่งฟุตบอล เป็นต้น
กฎระเบียบที่วางไว้ คือ เมื่อลูกสามารถทำตามตารางได้อย่างมีวินัยโดยไม่งอแง ลูกจะได้รับรางวัล (อาจได้รับค่าขนม หรือ สะสมเวลาเล่นเกมส์กด เป็นต้น) และในทางกลับกันหากลูกขาดวินัย กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ(ด้วยการงดเวลาว่างของอาทิตย์ถัดไป และต้องทำงานบ้านชดเชย เป็นต้น)


Ajoissa pysymisestä seuraa palkinto. - หากกลับตรงเวลาลูกจะได้รับรางวัล
Myöhästymisestä seuraa rangaistus. - เมื่อ
กลับไม่ตรงเวลาก็จะได้รับโทษ

Haet avaimet  - เดินไปรับกุญแจจากที่ทำงานของแม่
Tulet kotiin - กลับมาพบกันที่บ้าน เนื่องจากแม่กำลังจะเดินกลับถึงบ้าน

ผลปรากฎว่าไทเลอร์ปฏิบัติตัวได้ดี บางวันลูกใช้เวลาหมดไปกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์กับเพื่อน และบางวันลูกขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือในห้องสมุด ประเด็นสำคัญคือ ลูกไม่งอแงขอเวลาเล่นกับเพื่อน เพราะรู้ว่าในแต่ละวันตัวเองทำกิจกรรมอิสระได้กี่ชั่วโมง จึงสามารถวางแผนเลือกกิจกรรมและจัดสรรเวลากับเพื่อนได้ล่วงหน้า
และส่วนใหญ่ลูกกลับบ้านได้ตรงเวลาตามที่ตกลงกัน พ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้ หรือกังวลใจในวันที่ลูกมีคาบเรียนน้อย เพราะเข้าใจตรงกันว่าลูกต้องกลับบ้านเวลาไหน และหากลูกไม่ปฏิบัติตามตาราง เช่นกลับบ้านช้าอย่างผิดสังเกต พ่อและแม่สามารถเดาได้ว่าอาจมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับลูก เช่น ลูกกลับบ้านช้ามากและไม่ส่งข้อความมาบอกแม่ตามปรกติเพราะมือถือของลูกหล่นหาย เป็นต้น

ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้มีข้อดี คือ
1. ลูกมีอิสระทำกิจกรรมส่วนตัวหลังเลิกเรียน จึงช่วยลดความกดดันทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
2. ลูกฝึกการมีวินัย เมื่อต้องปฏิบัติตามข้อตกลงตามตารางอย่างเป็นกิจวัตร เช่น การส่งข้อความมาบอกแม่ว่าทำอะไร ที่ไหน กับใคร
3. 
ลูกฝึกการตรงต่อเวลา เมื่อมีเวลากำกับว่าต้องกลับถึงบ้านกี่โมง และจะได้รับโทษเมื่อกลับไม่ตรงเวลา ลูกจึงต้องวางแผนทำกิจกรรมเพื่อที่จะไม่ใช้เวลาเกินกำหนด
4. สุขภาพจิตของลูก รวมทั้งพ่อและแม่ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อไม่ใช้การบังคับ ขู่เข็ญ หรือเข้มงวดมากเกินไป

จนกระทั่งบัดนี้ยังหาข้อเสียไม่เจอ นอกจากบางวันอาจมีข้อยกเว้น เช่น ลูกเรียนเพียงครึ่งวันเช้าเพราะช่วงบ่ายโรงเรียนจัดการประชุมครูผู้สอน ลูกอาจขอเพิ่มชั่วโมงว่างในวันนั้น ในกรณีนี้แม่ต้องใช้วิจารณญานในการตัดสินใจเพื่อจัดสรรเวลาว่างอย่างพอดีแก่ลูก เพราะอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญของการนำตารางนี้มาใช้ คือ เพื่อให้โอกาสลูกทำกิจกรรมยามว่างอย่างอิสระ  โดยอยู่ในขอบเขตที่พ่อและแม่เห็นชอบ อันหมายถึงกิจกรรมที่เหมาะตามวัยภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม รวมถึงเพื่อนที่ลูกทำกิจกรรมด้วยก็ควรมีอิทธิพลในทางบวกกับลูกด้วยเช่นกัน พ่อและแม่จึงมีหน้าที่กำกับดูแลขอบเขตนี้ไม่ให้เกินสมดุล เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูก

สรุปว่า ตารางเวลาว่างหลังเลิกเรียนที่ทำขึ้นนี้ใช้แก้ปัญหาได้ตรงจุดทีเดียว
ลูกชายคนนี้ต่อต้านน้อยลง และปฏิบัติตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกได้เรียนรู้ว่า พ่อและแม่เคารพสิทธิและใส่ใจความต้องการของลูก และเหนือสิ่งอื่นใดเราปฏิบัติต่อลูกอย่างเท่าเทียม

วันศุกร์, ธันวาคม 18, 2558

Baked To Bite : Baked Cornflake Crusted Chicken Strips


มื้อที่แล้วทำขนมทานเป็นอาหารว่างแล้ว มื้อนี้ขอเปลี่ยนมาเป็นอาหารคาวบ้าง และครั้งนี้ก็ยังไม่หลุดคอนเซ็ปต์เดิม คือ ทำง่าย วัตถุดิบหาง่าย หน้าตาน่ากิน และยังรสชาติอร่อยได้โล่ห์ อาหารจานนี้เป็นเมนูเนื้อไก่กรุบกรอบ และไม่มันเยิ้มเพราะไม่ได้ทอดในน้ำมัน แต่ทำให้สุกในเตาอบ แล้วมันจะกรอบสู้ไก่ทอดได้มั๊ย ยืนยันว่าสู้ได้แน่นอนเพราะเป็นไก่ที่คลุกด้วยแผ่นข้าวโพดอบกรอบ หรือคอร์นเฟลก นั่นเอง
เมนูนี้จึงได้ชื่อว่า Baked Cornflake Crusted Chicken Strips

ส่วนตัวคิดว่าเมนูนี้ไอเดียเก๋ เพราะ
1.ทำไก่ให้สุกและกรอบได้โดยไม่ใช้น้ำมัน จึงไม่มีปัญหาน้ำมันเยิ้ม 2.ไก่กรอบนานเพราะคลุกโดยทั่วด้วยคอร์นเฟลกที่กรอบอยู่แล้ว 3.ไม่ต้องกังวลว่าจะทอดออกมาเกรียมหรืออมน้ำมัน(เป็นปัญหาที่ตัวเองเจอบ่อย) และ
4.เมื่อทำทิ้งไว้จนเย็น แล้วนำไปอุ่นด้วยไมโครเวฟ คอร์นเฟลกที่ติดบนชิ้นไก่ก็ยังคงความกรอบไว้ได้ดี
เมนูนี้แนะนำเลยโดยเฉพาะบ้านที่ชอบทานไก่กรุบกรอบค่า :)


เครื่องปรุง ได้แก่ 
อกไก่ หั่นเป็นแถบยาว ความหนาพอดีๆ ประมาณ สิบชิ้น
ไข่ หนึ่งหรือสองฟอง
คอร์นเฟลกประมาณสามถ้วยเล็ก
เกลือครึ่งช้อนชา
ผักชีฝรั่งหรือผักชีไทยก็ได้ ประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอก(สำหรับปรุงอาหาร) หนึ่งช้อนโต๊ะ
แป้งโกกิ สี่ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำนิดหน่อย

วิธีทำ ดูวิดีโอวิธีทำด้านล่างได้เลยจ้า

1) อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 200C ทิ้งไว้ เตรียมถาดอบที่ปูด้วยกระดาษเพื่อใช้อบให้เรียบร้อย ล้างเนื้อไก่ด้วยน้ำเย็นและซับให้แห้ง จากนั้นตัดเป็นชิ้นยาวให้มีความหนาประมาณครึ่งนิ้ว ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย

2) ตีไข่ในถ้วยใบเล็กแล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปกวนให้เข้ากัน วางทิ้งไว้ แล้วเทแป้งโกกิลงบนจาน เตรียมไว้

3) เทคอร์นเฟลกลงในถุงซิปล็อคแล้วบดให้เป็นชิ้นเล็กๆด้วยมือ หรือคลึงด้วยไม้นวดแป้ง จากนั้นเทลงในถาดลึกขนาดใหญ่ นำเกลือ พริกไทยและผักชีลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากับคอร์นเฟลก

4) นำไก่ที่หั่นลงไปคลุกกับแป้งโกกิ ไข่ และคอร์นเฟลกทีละชิ้นตามลำดับ แล้ววางเรียงลงบนถาดอบ
(สามารถใช้ซ้อมนวดกดคอร์นเฟลกเพื่อให้ติดชิ้นไก่ได้แน่นขึ้น)

5) นำถาดเข้าตู้อบ อบประมาณ 15 นาทีแล้วนำออกมาพลิกกลับชิ้นไก่แล้วนำเข้าอบอีก 15 นาที

6) เสริฟพร้อมน้ำจิ้มไก่




ขอบคุณสูตรจาก

Baked Cornflake Crusted Chicken Strips :: Home Cooking Adventure
http://www.homecookingadventure.com/recipes/baked-cornflake-crusted-chicken-strips

ดูวิธีทำจากวิดีโอ





วันอาทิตย์, ธันวาคม 13, 2558

Baked To Bite : No-Bake Chocolate Peanut Butter Bars

วันนี้ขอเสนอขนมหวานที่ทำง่ายมากโดยไม่ต้องใช้เตาอบ  
นั่นคือ No-Bake Chocolate Peanut Butter

รสชาติขมนิดๆมันนิดหน่อยๆ เพราะใช้ช็อคโกแลตแบบขม อร่อยไปอีกแบบ สำหรับคนที่ชอบหวานอาจเปลี่ยนสูตรเป็นช็อคโกแลตนมหรือเพิ่มน้ำตาลให้หวานแบบพอดี ทานเป็นอาหารว่างสำหรับเด็กๆ บอกได้เลยว่าอิ่มท้องมากเพราะใส่บิสกิต Digestive มีกากใยเยอะรวมทั้งเนยถั่วที่เต็มไปด้วยโปรตีน สูตรนี้แนะนำเลยค่ะ


ส่วนผสม มีดังนี้
บิสกิต Digestive 200 กรัม
เนยจืด 70 กรัม
เนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น หรือแบบผสมถั่วป่น 120 กรัม
ช็อคโกแลตรสหวานขม (ปริมาณโกโก้ 55% - 70%) 200 กรัม
เนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น 60 กรัม แบ่งเป็นสองส่วน




วิธีทำ ดูวิดีโอวิธีทำด้านล่างได้เลยจ้า
1. ป่นบิสกิตในเครื่องปั่นให้เป็นเกล็ดขนาดเล็ก เพิ่มเนยที่ละลายแล้วและเนยถั่ว Peanut butter แบบเนื้อเนียนข้น หรือแบบผสมถั่วป่นส่วนแรกลงไปปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2. ทาพื้นถาดขนาด 20x20 ซม.และวางทับด้วยกระดาษไขสำหรับอบขนม โดยปล่อยริมกระดาษให้พ้นขอบถาดเพื่อความสะดวกในการแกะยกขนมออกจากถาด 
3. เทบิสกิตป่นที่ผสมแล้วลงไปในถาด ใช้ช้อนกดและเกลี่ยให้เป็นแนวราบและอยู่ในระดับเดียวกัน 
4. ละลายช็อคโกแลตผสมกับเนยถั่วสองช้อนโต๊ะ คนจนละลายเข้ากัน แยกละลายเนยถั่วที่เหลือให้เหลว เทช็อคโกแลตผสมเนยถั่วลงบนบิสกิตป่น เกลี่ยให้ทั่วแล้วตักเนยถั่วที่แยกละลายลงไปบนช็อคโกแลตและใช้ปลายมีดตวัดวาดริ้วจากเนยถั่วให้เป็นรูปร่างตัดกับช็อคโกแลตตามใจชอบ
5. นำขนมที่เตรียมแล้วแช่เย็นเป็นเวลาสองชั่วโมงเพื่อให้ขนมแข็งตัว นำออกจากตู้เย็นและวางในอุณหภูมิห้องสักสิบนาทีก่อนใช้มีดตัดเป็นชิ้นพร้อมเสริฟ สามารถเก็บได้ในช่องแช่แข็งเพื่อเสริฟครั้งต่อไป


ขอบคุณสูตรจาก  
http://www.homecookingadventure.com/recipes/no-bake-chocolate-peanut-butter-bars
ดูวิธีทำจากวิดีโอ




วันอาทิตย์, ธันวาคม 06, 2558

Finnish Independence Day December 6 : วันประกาศเอกราชของฟินแลนด์

สาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งจะมีอายุครบเก้าสิบแปดปี นับตั้งแต่ประกาศเอกราชในวันที่ 6 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1917 ก่อนหน้านั้นฟินแลนด์มีประวัติการถูกครอบครองโดยชาติเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน โดยเคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนอยู่หลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี ค.ศ. 1917 หรือ พ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย 

วันประกาศอิสรภาพของฟินแลนด์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์
และชาวฟินน์มีพิธีการเฉลิมฉลองดังนี้

1) เชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา หรือประดับบ้านด้วยธงชาติเมื่อเวลา 8 - 9 โมงเช้า

2) ในตอนกลางวัน สามารถร่วมเดินขบวนถือคบเพลิงในบริเวณโบสถ์หลักของเมือง ร่วมใจอธิฐานในโบสถ์ หรือนำเทียนไปจุด ณ สุสานหรืออนุสรณ์สถานสงคราม

3) จุดเทียนสีฟ้าขาว และวางไว้ริมหน้าต่าง




4) ชมภาพยนตร์เรื่อง Unknown Soldier [Tuntematon Sotilas (1955)] ที่เปิดฉายทางทีวีทุกปี



The Unknown Soldier
For over a decade now, a movie adaptation of 1955 version of The Unknown Soldier has also been a part of Finnish Independence Day. The film is based on Finnish author Väinö Linna's iconic novel, a story about the Continuation War between Finland and the Soviet Union in World War II, as told from the viewpoint of ordinary Finnish soldiers.
The film brought difficult themes to the fore in post-war Finland, at times contradicting a heroic narrative about the conflict. For that it was criticised and some editions were censored, but ordinary Finns made it a huge hit. It’s now a national classic—and an integral part of Independence Day.
For years the movie was shown on Yle in the afternoon, before the President’s Reception was scheduled to begin, but in 2012 a recommendation banning violent content on television during hours that children were watching forced Yle to push the broadcast back to five pm. After several complaints, the film’s showing time was pushed even farther back to 10 pm so as not to overlap with the reception broadcast. That brought a storm of criticism from commercial media, veterans and wider society.
In 2014 it was agreed that content appropriate for 7-12 year olds can be shown on television before nine. The Unknown Soldier has been given a K12 rating, so this year, the film will be shown once again in the afternoon, starting at 1:40 pm on channel one.

5) เชิญเพื่อนและครอบครัวมาทานอาหารเย็นที่บ้าน ที่จัดอย่างพิถีพิถัน ด้วยรสชาติฟินนิชแท้ดั้งเดิมแล้วเสริฟและตกแต่งด้วยธงชาติอันเล็ก

6) ตอนหัวค่ำ เปิดทีวีดูรายการถ่ายทอดสดงานเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราช (Linnan Juhlat) ที่จัดขึ้นทุกปี ณ ทำเนียบประธานาธิบดี  โดยมีประธานาธิบดีฟินแลนด์และคู่สมรสยืนสัมผัสมือ (Kätellä) ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมายังทีละคน ผู้ที่ได้รับเชิญส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ นักการเมือง ผู้บัญชาการทหาร ตำรวจยศสูง ผู้แทนจากต่างประเทศ รวมถึงผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศเช่น นักกีฬาเหรียญทองหรือศิลปิน




7) เชิญธงชาติลงจากยอดเสาและดับเทียนในเวลา 20.00 นาฬิกา

ขอบคุณที่มา :
http://yle.fi/uutiset/finnish_independence_day_galas_protests_and_war_memories/
http://www.wikihow.com/Celebrate-Finnish-Independence-Day

วันศุกร์, ธันวาคม 04, 2558

Kids don't come with instructions. : เด็กไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือ

คลิปบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคุณพ่อมือใหม่ ที่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) เมื่อภรรยาจากไป สิ่งที่เขาต้องเจอ และเรียนรู้เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล คลิกไปชมกันเลยค่ะ


Modern DaD
คลิปบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคุณพ่อมือใหม่ ที่ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (Single dad) เมื่อภรรยาจากไป สิ่งที่เขาต้องเจอ และเรียนรู้เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล คลิกไปชมกันเลยค่ะ
Posted by momypedia on Friday, December 4, 2015


ไม่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ความยากลำบากมันก็ไม่ต่างกันมากหรอก ยิ่งไม่มีสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆคอยช่วยเหลือ ความเหนื่อยล้า ความท้อแท้ ความสับสนมันยิ่งมีมากกว่าหลายเท่า แต่ความสุขในการดูแล การเรียนรู้ การทำความรู้จักลูก และการเติบโตไปด้วยกันมันมีคุณค่าเหนือสิ่งใด และเหนือกาลเวลา

เล่าจากประสบการณ์ของตัวเองในการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเลยว่า กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตจนกระทั่งเค้าช่วยเหลือตัวเองได้เนี่ย มันต้องใช้ความอดทนเหนือคำบรรยายจริงๆ มันคือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข คือสายใยและบ่วง มันคือน้ำตาปนเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ผูกมัดด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ เราได้เรียนรู้ความจริงที่ว่า ลูกคือกระจกสะท้อนตัวเราเอง เค้าคือ Mini-Me ของเรา มีหลายครั้งที่เค้าเตือนให้นึกถึงสิ่งที่เราเคยเป็นและเคยทำในวัยเด็กที่เราอาจลืมไปแล้ว บทเรียนที่เราได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งคือ การเลี้ยงลูกไม่มีสูตรตายตัว ลูกไม่ได้เกิดมาพร้อมคู่มือ ไม่มีบทที่ว่าด้วยการดูแลรักษา maintenance หรือวิธี reset เมื่อลูกเกิดอาการ error สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ เลี้ยงเค้าในแบบของตัวเอง ด้วยสัญชาตญานของเราเอง โดยไม่มีการตระเตรียมตัวล่วงหน้า  [Kids don't come with instructions. We all mess up. Raising a child is pure impromptu. - Harlan Coben, Just One Look] แน่นอนที่ว่าเราตัดสินใจพลาดหลายครั้ง เราอาจเลี้ยงเค้าแบบผิดวิธีโดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งเรามองข้ามความละเอียดอ่อนและความขาวสะอาดของเด็ก และบ่อยครั้งเราป้ายทาอารมณ์ความรู้สึกรุนแรงของเราลงไปบนผ้าขาวของลูก โดยไม่ตระหนักว่าไม่ว่าจะขัดถูอย่างไร ผ้าผืนนั้นจะไม่มีวันขาวสะอาดเหมือนเดิม ...เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทำผิด เราพูดผิด เราทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา แต่ในเวลาเดียวกันเราก็เรียนรู้ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดเพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกับลูก

สิบปีที่ผ่านมาแม่รู้ตัวว่าไม่ใช่แม่ที่ใจดี อ่อนหวาน อดทน แม่เข้มงวด เจ้าอารมณ์ กราดเกรี้ยวและเคยตีลูกทั้งน้ำตามาแล้วหลายครั้ง แต่แม่รู้ว่ายิ่งอายุมากขึ้นแม่ก็ใจเย็นลง และตอนนี้คุยกับลูกด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดไปพร้อมๆกับลูก
เลอร์รู้มั๊ยว่าแม่ไม่เคยหยุดรักลูก ไม่มีแม้เพียงวินาทีเดียวที่จะไม่เจ็บปวดเมื่อรู้ว่าลูกเจ็บป่วย ร้องไห้ เศร้าใจหรือทุกข์ทรมาน และไม่มีครั้งใดที่จะหัวใจของแม่จะไม่พองโตด้วยความภาคภูมิใจเมื่อลูกหัวเราะ มีความสุขหรือประสบความสำเร็จ แม้ว่าแม่จะมีวีธีแสดงความรักแตกต่างจากคนอื่น แต่สิ่งเดียวที่แม่และพ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้มีเหมือนกัน คือ เราทุกคนสละชีวิตของเราได้เพื่อลูก แม่รักเลอร์และขอให้ลูกจำไว้ว่าไม่ว่าลูกจะเกิดมาโดยขาดพ่อ แต่ลูกได้รับความรักของแม่ไปทั้งใจและทั้งชีวิต และคนๆนี้จะอยู่เคียงข้างลูกตลอดไป
และในวันนี้เมื่อลูกมีคุณพ่อคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาช่วยแม่ดูแล ปกป้องและห่วงใยลูกอีกคนหนึ่ง คุณพ่อคนนี้จะสอนลูกให้เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ และเค้าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการเติบโตเป็นลูกผู้ชาย ขอให้ลูกเข้าใจว่าเค้าอาจไม่เข้าใจลูก หรือรักลูกในแบบเดียวกันกับแม่ แต่อย่างน้อยเค้ามีความพยายามที่จะทำความรู้จักลูก อดทน ยื่นมือเข้าช่วย เอาใจใส่และทุ่มเทให้ลูกเป็นในสิ่งที่ลูกอยากเป็นในอนาคต เค้าคนนี้จะคอยเติมเต็มส่วนที่เป็นความบกพร่องของแม่ เราทั้งสองคือทีมเดียวกันและเราจะช่วยกันดูแลลูก 
แม่ดีใจที่ต่อจากนี้ไปชีวิตของลูกจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 
รัก... แม่

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 26, 2558

อบรมบ่มนิสัย ตอน มือถือของผมหล่นหาย

เมื่อวันก่อนลูกชายอายุสิบขวบกลับบ้านช้ามาก โรงเรียนเลิกตั้งแต่บ่ายโมง และปกติแล้วลูกจะส่งข้อความมาบอกว่าหลังเลิกเรียนจะไปไหน ไปกับเพื่อนคนใด และจะกลับถึงบ้านกี่โมง แต่วันนั้นไม่มีข้อความจากลูกเลย แม่เลิกงานเวลาบ่ายโมงครึ่ง กลับมารอที่บ้าน รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่กลับ โทร.หาลูกไม่ติดเพราะคาดว่ามือถือของลูกแบ็ตฯหมด (ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านลูกบอกแม่ว่าแบ็ตฯเหลือหนึ่งขีด แต่คิดว่าอาจยังใช้ได้จนถึงเวลากลับบ้าน) แม่กังวลมากเพราะลูกไม่เคยเป็นแบบนี้

เมื่อพ่อเลิกงานกลับถึงบ้านจึงปรึกษากันว่าควรโทร.ถามเพื่อนสนิทของลูกแต่ละคน เผื่อจะมีใครรู้ว่าเค้าไปไหนกับใครหลังเลิกเรียน ได้ความจากเพื่อนคนหนึ่งว่า เห็นลูกอยู่ในบริเวณโรงเรียนกับเพื่อนอีกคน พ่อจึงรีบโทร.เช็คเพื่อนคนนั้น จึงรู้ว่าหลังเลิกเรียนลูกกับเพื่อนคนนี้วางแผนจะไปเล่นเกมส์ที่บ้านของเค้า แต่เนื่องจากเพื่อนปั่นจักรยาน ลูกจึงต้องวิ่งตามให้ทัน ทำให้มือถือหล่นจากกระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงบ้านเพื่อนและกำลังจะเขียนข้อความส่งถึงแม่ ลูกจึงรู้ตัวว่าโทรศัพท์หายไป จากนั้นลูกกับเพื่อนจึงพากันเดินหาตามทางที่วิ่งมา แต่ก็หาไม่เจอ และแทนที่จะช่วยกันค้นหาให้ทั่ว หรือกลับบ้านมาบอกแม่ ลูกกลับเดินกลับไปบ้านเพื่อนคนนี้เพื่อเล่นเกมส์ตามที่ตั้งใจในตอนแรก จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เค้าเริ่มรู้สึกผิดจึงชวนเพื่อนเดินหามือถืออีกครั้ง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอจนพลบค่ำ ท้องฟ้ามืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร และอากาศก็เย็น สรุปว่าลูกเดินคอตกกลับถึงบ้านตอนหกโมงเย็นเพราะทำมือถือหล่นหายและไม่ใส่ใจหาจนเจอ แต่ไม่กล้ากลับบ้านมาสารภาพกับพ่อแม่

ค่ำวันนั้นพ่อลูกจึงพากันเดินออกไปหารอบๆโรงเรียนอีกครั้งจนดึก แต่ก็ไม่เจอ คืนนั้นลูกจึงต้องรับการอบรมจากพ่อแม่ที่พร่ำสอนลูกเสมอว่าของสำคัญทุกอย่างต้องใช้อย่างทะนุถนอมและถ้าสิ่งใดหายไปต้องรีบค้นหา หรือหากของชำรุดเสียหายต้องรีบซ่อมแซม อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนหาของไม่เจอหรือซ่อมไม่ได้ หากลูกใช้ของอย่างทิ้งขว้าง ไม่ใส่ใจ ต่อไปในอนาคตเค้าจะไม่รู้ค่าของเงิน หรือไม่เห็นคุณค่าหรือพอใจในสิ่งของที่ตัวเองมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เค้าไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองนั้น เค้าอาจจะไม่รู้คุณค่า จึงไม่ดูแล ทิ้งขว้างหรือไม่ใส่ใจ แล้วเรียกร้องต้องการซื้อของใหม่ ทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นขยะ เป็นของไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ซึ่งทำให้เปลืองทรัพยากร เปลืองเงินซ่อมหรือเป็นเหตุให้ต้องซื้อใหม่โดยไม่จำเป็น

เช้าวันต่อมาในห้องเรียนวิชาภาษาฟินนิช นักเรียนทุกคนต้องเขียนบันทึกประจำวัน ลูกชายจึงเขียนบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันก่อน เมื่อคุณครูได้อ่านจึงยื่นมือเข้าช่วยด้วยการสอบถามเพื่อนร่วมห้องและครูท่านอื่น จนกระทั่งมีคนรายงานว่าพบโทรศัพท์มือถือของลูกชายหล่นบนทางเท้าใกล้ๆโรงเรียน ครูรีบชาร์ทแบ็ตเตอรี่และนำมาคืนลูกชายก่อนเวลาเลิกเรียน คราวนี้เจ้าลูกชายตัวดีเดินหน้าบานกลับบ้านด้วยความดีใจที่ได้มือถือของตัวเองกลับคืนมา  แม่หวังว่าเค้าได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญนี้ และจำได้ว่าควรเก็บของอย่างไรไม่ให้เสียหาย และเมื่อหายไปต้องรีบหา รวมถึงใส่ใจ ดูแลทรัพย์สินของตัวเองให้ยังใช้ได้นานๆ
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่แม่ภูมิใจกับเจ้าลูกชายคนนี้ นั่นก็คือ แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากและกลัวที่จะสารภาพผิด แต่เมื่อต้องพูดเค้าก็พูดความจริง รับว่าตัวเองผิด แล้วไม่เคยโกหกพ่อแม่ หรือโกหกผู้ใหญ่เลย ซึ่งแม่หวังว่าคุณธรรมข้อนี้จะติดตัวลูกไปจนโต แล้วสอนลูกสอนหลานให้ทำอย่างเดียวกัน เพราะความซื่อสัตย์คือความดีที่จะช่วยคนดีให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง


ป.ล. ไทเลอร์ได้รับโทรศัพท์โนเกียเครื่องนี้จากพ่อที่ซื้อเมื่อสี่ปีที่แล้ว พ่อใช้อย่างทะนุถนอมแล้วมอบให้ลูกใช้เป็นมือถือเครื่องแรกในชีวิตของเค้า แต่เมื่อไทเลอร์เห็นเพื่อนๆหลายคนใช้มือถือรุ่นใหม่พร้อมอินเตอร์เน็ต ไทเลอร์จึงเรียกร้องอยากได้บ้าง แต่พ่อกับแม่สอนลูกว่าสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องมีในตอนนี้คืออุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อนๆในกรณีจำเป็นต่างๆ เช่น โทร.หรือส่งข้อความถึงแม่หลังเลิกเรียน โทร.ถามการบ้านหรือนัดเพื่อนออกมาเล่นฟุตบอล หรือโทร.ขอความช่วยเหลือในเวลาคับขัน ดังนั้นอินเตอร์เน็ตหรือเครื่องมือที่ใช้ต่ออินเตอร์เน็ตราคาแพงนั้นยังไม่จำเป็นต่อลูกเลยในวัยนี้ และที่สำคัญ เมื่อลูกหัดใช้ของอย่างทะนุถนอมแล้ว มือถือเครื่องนี้อาจจะยังใช้ได้จนถึงเวลาที่ลูกสามารถซื้ออุปกรณ์สื่อสารที่จำเป็นต่อลูกเมื่อโตขึ้น หวังว่าลูกจะเข้าใจพ่อกับแม่นะ

วันอังคาร, พฤศจิกายน 10, 2558

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับที่อยู่และการมีถิ่นพำนักในฟินแลนด์ ฉบับภาษาไทย

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศฟินแลนด์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการย้ายมาอยู่ฟินแลนด์ ได้จากลิ้งค์ Perustietoa Suomesta -opas แล้ว เลือก ''PDF-opas: ประเทศฟินแลนด์ยินดีตอ้นรับ'' ก็จะสามารถดาวน์โหลดเอกสารฉบับภาษาไทยได้เลยค่ะ





วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 05, 2558

♫ Potentiaali : ทำไมเธอไม่ค้นหาศักยภาพของตัวเองล่ะ

Jukka Poika คือไอดอลของใครหลายคน รวมถึงตัวเดี๊ยนเองด้วย ชอบเพลงของเค้าที่ใช้ภาษาสละสลวย ไม่เปลืองคำแสลง จังหวะเพลงก็ลงตัว โยกตามได้อย่างฟรีสไตล์ ตรงใจสาวก"เร้กเก้" ทั้งไทยและเทศอย่างเดี๊ยนเลยล่ะ อันที่จริงมีหลายเพลงที่ได้รับความนิยมและเปิดซ้ำๆทางวิทยุ แต่มีเพลงนี้ที่มันโดนใจ ความหมายของเพลงมันปลุกใจอย่างบอกไม่ถูก อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ อยากค้นหาตัวเอง ยิ่งเปิดฟังทุกวันยิ่งมีกำลังใจ ผลักดันตัวเองให้เดินตามจุดหมายเอื้อมมือ ไขว่คว้า เดินตามความฝัน

อยากบอกว่าเพลงนี้แหละที่เตือนตัวเองให้นึกถึงความสามารถและศักยภาพของตัวเองแล้วทำให้กล้าที่จะ break away จาก comfort zone ดั่งผีเสื้อที่ออกจากดักแด้เพื่อกางปีกโบยบินตามใจฝัน เช่นนั้นเลย ดังนั้นเดี๊ยนก็เลยตัดสินใจสอบวัดความสามารถทางภาษาอีกครั้ง เพื่อนำคะแนนไปสมัครเรียนต่อปริญญาโทด้านที่เดี๊ยนจบมา แม้จะผิดหวังมาก่อนจากผลสอบปีที่แล้วที่ได้น้อยกว่าเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด แต่จะไม่ท้อถอยฮ่ะ คราวนี้เดี๊ยนตั้งใจแน่วแน่และวางแผนเตรียมสอบอย่างมาดมั่น เชื่อว่าคราวนี้ผลสอบจะต้องดีกว่าเดิมแน่นอน ส่วนผลการสมัครเรียนป.โทนั้นก็ขึ้นอยู่กับเอกสารแสดงผลการเรียนป.ตรี พูดง่ายๆก็คือขึ้นอยู่กับกรรมเก่าของเดี๊ยนเอง แต่ผลจะออกมายังไงเดี๊ยนก็จะยอมรับค่ะ อย่างน้อยได้พยายาม ได้ลองแล้ว แม้จะไม่ได้รับคัดเลือกให้เรียนต่อเดี๊ยนคงจะมองหาศักยภาพอื่นๆของตัวเองต่อไปค่ะ


”Omaan mukavuuteen on helppo tuudittuu

Silloinkin kun pitäis kasvaa ja uudistuu” 

มันง่ายที่เราจะเก็บตัวอยู่ในมุมที่เราอุ่นใจ

แม้ยามที่เราควรเติบโตและฟื้นคืนพลังให้กับตัวเองอีกครั้ง

”Jos sä vaalit sun pelkoo
Niin kuin farmari peltoo
Ja varot astumasta sinne missä se versoo
Elät puoliteholla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo”

ถ้าเธอเลือกที่จะโอบอุ้มความกลัวของตัวเอง

เหมือนอย่างชาวนาทะนุถนอมผืนนาของเค้า
กลัวที่จะเดินย่ำบนที่นาของตน
ในบริเวณที่ผลิดอกออกผล
เธอกำลังใช้ชีวิตแบบครึ่งๆกลางๆ
นี่หรือคือสิ่งที่เธอเป็นอยู่
แล้วไยเธอไม่ค้นหาศักยภาพของตัวเอง



Finnish

Potentiaali

Kun virta vie sua mukanaan kaikkeuteen
Takerrut kirjaan, takerrut kaiteeseen
Jos sä vaalit sun pelkoo
Niin kuin farmari peltoo
Ja varot astumasta sinne
missä se versoo
Elät puoliteholla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Jos sä haudot itsesääliä
suurina määrinä
Niin et sä oot uhri
Ja maailma on väärässä
Elät vajareilla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Omaan mukavuuteen on helppo tuudittuu
Silloinkin kun pitäis kasvaa ja uudistuu
Kelaat samaa luuppii kunnes se jumittuu
Jumittuu, jumittuu
Kaikki seisovat aallot, jähmeät patsaat
Joita puolustat
Niihin voimasi satsaat
Ne on niin rakkaat
Pikku harhakuvat
Kun virta vie sua mukanaan kaikkeuteen
Takerrut kirjaan, takerrut kaiteeseen
Ja vaalit sun pelkoo
Niin kuin farmari peltoo
Ja varot astumasta sinne
missä se versoo
Elät puoliteholla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Jos sä haudot itsesääliä
suurina määrinä
Niin et sä oot uhri
Ja maailma on väärässä
Elät vajareilla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Reunan yli nojaten
Tyhjyyttä halaten
Rakkautta tuhlaten
Sydäntäsi avaten
Vitutusta uhmaten
Karsinasta karaten
Seuraava leveli on just sua varten
Sun mieles aavikol
on jossain puutarha
Mis kaikki on mahdollista
Eikä mikään oo varmaa
Ja vaiks sä kynnät mielelläs
Sun pitkää suoraa sarkaa
Niin koita välil vierailla viidakos
Ja jos se on sulle tuntematon alue
Niin ilmankos
Sä vaalit sun pelkoo
Niin kuin farmari peltoo
Ja varot astumasta sinne
missä se versoo
Elät puoliteholla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Jos sä haudot itsesääliä
suurina määrinä
Niin et sä oot uhri
Ja maailma on väärässä
Elät vajareilla
Sen se susta kertoo
Mikset ottais omast potentiaalistas selkoo
Takerrut kirjaan, takerrut kaiteeseen
Kun virta vie sua mukanaan kaikkeuteen
English translation

Potential

When the stream takes you with it to the Universe
You cling to a book, you cling to a rail
If you cherish your fear
As a farmer cherishes his field
And beware of stepping
where it [the field] is flowering
You are living on half-power
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
If you wallow in self pity
in great quantities
Then you are not the victim
And then the World has it all wrong
You are not living to the fullest
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
It is easy to stay in the comfort zone
Even when you should be growing and renewing yourself
You are playing the same loop until it jams
jams, jams
All standing waves, rigid statues
that you are defending
For which you are using your energies
Are so important to you
Little illusions
When the stream takes you with it to the Universe
You cling to a book, you cling to a rail
And you cherish your fear
As a farmer cherishes his field
And beware of stepping
where it [the field] is flowering
You are living on half-power
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
If you wallow in self pity
in great quantities
Then you are not the victim
And then the World has it all wrong
You are not living to the fullest
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
Stretching over the edge
Embracing the nothingness
Wasting your love
Opening your heart
Defying "being pissed off" [1]
Escaping from pig pen
The next level is exactly meant for you
On the desert of your mind,
there is a garden somewhere
Where everything is possible
And nothing is certain
And even though you plow with pleasure
The long field strip [of your mind]
Try to visit the jungle occasionally
And if it is terra incognita for you
I do not wonder why
You cherish your fear
As a farmer cherishes his field
And beware of stepping
where it [the field] is flowering
You are living on half-power
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
If you wallow in self pity
in great quantities
Then you are not the victim
And then the World has it all wrong
You are not living to the fullest
That is what it says about you
Why wouldn't you figure out your potential
You cling to a book, you cling to a rail
When the stream is taking you to the Universe

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 01, 2558

Holidaying in Tallinn, Estonia 11.-13.10.2015

เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย คือเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของฟินแลนด์ โดยมีอ่าวฟินแลนด์คั่นกลาง พวกเราเดินทางโดยเรือจากท่าเรือเมืองเฮลซิงกิของฟินแลนด์มาถึงท่าเรือเมืองทาลลินน์โดยใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง เรามีโอกาสเดินชมเมืองเก่า (Medieval Old Town)ที่ยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับประเทศรัสเซีย เนื่องจากในอดีตเคยถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตนั่นเอง 
อาคารบ้านเรือนก็ดูน่ารัก ถนนหนทางก็คึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนฟินน์นั้นนิยมเดินทางมาพักตากอากาศที่นี่เพราะเดินทางสะดวก อีกทั้งค่าที่พักไม่สูงมากนัก ประจวบกับวันที่เราเดินทางนั้นเป็นช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ (Syysloma) โรงเรียนหยุดหนึ่งอาทิตย์ ครอบครัวชาวฟินน์จึงพาเด็กๆมาพักผ่อนที่เมืองนี้กันอย่างคับคั่ง

นอกจากเมืองเก่าแล้ว พวกเรายังสนใจเดินชมมุมอื่นๆของเมืองด้วย ทั้งซากเก่าแก่ที่ยังคงทิ้งตราประทับของสหภาพโซเวียตที่เคยครอบครองดินแดนแห่งนี้ในอดีต แหล่งช้อปปิ้งกลางเมือง รวมถึงหนึ่งในร้านอาหารที่หนุ่มสาวชาวทาลลินน์นิยมแฮงค์เอ้าท์หลังเลิกงาน ก่อนโบกมือลา เราก็ไม่ลืมเติมพลังด้วยอาหารรสชาติภารตะ และยังแวะร้าน"ชาดู"เพื่อซื้อชาเป็นของฝากก่อนนั่งเรือกลับบ้าน (แนะนำเลยนะ สำหรับร้านนี้ ชาเต็มร้านจากเกือบทุกมุมโลก แล้วเจ้าของร้านรู้ลึกรู้จริง คอชาไม่ควรพลาดค่ะ)
สรุป เที่ยวนี้ใช้เวลาสองวันสองคืน ประทับใจมากและจะกลับมาเยือนอีกอย่างแน่นอน



วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 22, 2558

ประเด็นการเก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาต่างชาติที่เรียนระดับปริญญาตรีและโท

ที่มา : OKM - Tuition fees for higher education students from outside the EU/ETA area

ประเด็นการเก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาต่างชาติที่เรียนระดับปริญญาตรีและโท (รวมทั้งปวส.) ภาคภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาถิ่นของฟินแลนด์
ล่าสุดคณะรัฐบาลได้นำข้อเสนอนี้เข้ารัฐสภาเพื่อขอการอนุมัติ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา หากได้รับการอนุมัติจะมีผลบังคับสรุปคร่าวๆดังนี้

1. เรียกเก็บจากใคร - จากนักศึกษาต่างชาติที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่ม EU/EEA ที่ได้รับสิทธิเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสถาบันอุดมศึกษาหลักสูตรนานาชาติ(มีการเรียนการสอนในภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาฟินนิชหรือสวีดิช)

2. จำนวนเงินเท่าไหร่ - จำนวนที่รัฐบาลได้นำเสนอคือ หนึ่งพันห้าร้อยยูโร (1,500 euros) ต่อปีการศึกษาซึ่งกำหนดให้เป็นจำนวนขั้นต่ำ ดังนั้นสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งสามารถเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มได้ตามดุลยพินิจของสถาบัน

3. เริ่มบังคับใช้เมื่อไหร่ - หากได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016 เป็นต้นไป โดยจะบังคับให้สถาบันการศึกษาเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาต่างชาติที่เข้าศึกษาต่อในภาคการศึกษาแรกของปีถัดไป (คือเริ่มเรียนวันที่ 1 เดือนสิงหาคม ปี 2017) *อย่างไรก็ตาม สถาบันอาจเรียกเก็บค่าเล่าเรียนได้ก่อนวันที่กฎหมายระบุ หากเป็นความประสงค์ของสถาบันเอง

สรุป เดี๊ยนแอบลุ้นค่ะ กลัวมากค่ะ กลัวจะไม่ได้เรียนฟรี (มโนล่วงหน้าไปแล้วว่าตัวเองจะได้รับเลือกเข้าเรียน แต่ความจริงคือกำลังจะสอบโทเฟล และเตรียมตัวยื่นสมัครปลายปีนี้) แต่ถ้าติดจริงๆอาจยังไม่ต้องเสียกะตัง เพราะภาคการศึกษาแรกจะเป็นเดือนสิงหาคมปี 2016 ม.เฮลซิงกิอาจยังไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าเทอมก็ได้ เพราะกฎหมายก็ยังไม่บังคับ แต่ก็ยังไม่วางใจค่ะ เพราะแอบลงท้ายว่า "อย่างไรก็ตาม สถาบันอาจเรียกเก็บค่าเล่าเรียนได้ก่อนวันที่กฎหมายระบุ หากเป็นความประสงค์ของสถาบันเอง" (If they so desire, higher educational establishments may also bring the payments into use before this date.) ภาวนาขอให้ข้อเสนอไม่ผ่านการพิจารณาเถอะ สาธุ!

วันอาทิตย์, กันยายน 20, 2558

Hyvin kaunis tyttö : หน้าตาสวย บุคลิกดี ยิ้มสวย หรือถูกทุกข้อ

เคยมีคนแปลกหน้าบอกคุณมั๊ยว่า "คุณเป็นคนสวยนะ" ตั้งแต่เกิดจนอายุผ่านพ้นเลขสามมาก็เพิ่งเจอกับตัวนี่แหละ แถมไม่ใช่คนบ้า หนุ่มขี้หลี เฒ่าหัวงู หรือเพื่อนช่างประจบแต่อย่างใด เธอคือสตรีวัยกลางคนที่ดูปกติดีและที่สำคัญไม่รู้จักกันมาก่อน

เหตุเกิดที่ร้านขายยาที่เดี๊ยนทำงานอยู่ บ่ายวันเสาร์ ขณะที่เดี๊ยนทำหน้าที่เก็บเงินลูกค้าอยู่ที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์ คุณป้าคนนี้มาต่อคิวชำระเงิน พอถึงคิวของเธอ เดี๊ยนก็ทักทายลูกค้าตามปกติ "Moi -Terve-หรือ Hei" และเมื่อเสร็จสิ้นการชำระเงินเดี๊ยนก็กล่าวขอบคุณและยิ้มให้ลูกค้าตามปกติ คุณป้าคนนี้พินิจใบหน้าของเดี๊ยน ยิ้มนิดๆแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอย่างชื่นชมว่า "Sä oot hyvin kaunis tyttö." "เธอเป็นคนสวยนะ" โอะโฮะ เดี๊ยนก็อึ้งสิคะเพราะคาดไม่ถึง โดยปกติลูกค้าวัยนี้จะแค่พยักหน้าหรือกล่าวขอบคุณตอบพนักงานพอเป็นพิธี แต่เธอคนนี้ทำเอาเดี๊ยนตกกะใจจนเผลออุทานออกมา "Hu! Urr, kiitoksia." พูดได้แค่นี้จริงๆ ป้าแกอมยิ้มแล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นทั้งวันเดี๊ยนก็เกิดอาการโลกสวย ฟ้าใสสิคะ รู้สึกเปรมปรีย์ม้ากที่ในที่สุดก็มีคนชื่นชมความสวยของเดี๊ยนออกมาดังๆให้เดี๊ยนได้ยิน จนต้องเอาไป มโนหลงตัวเองต่อไปอย่างลับๆ แต่ปลื้มอยู่ไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา เพราะเมื่อพิจารณาคำพูดของป้าที่วนเวียนไปมาอยู่ในหัวแล้ว เริ่มไม่แน่ใจว่าเราตีความหมายของคำพูดป้าออกทะเลมากไปรึไม่ อันที่จริงป้าคงหมายถึงบุคลิกสินะ คงไม่ใช่ผิวหน้าที่เต็มไปด้วยหลุมสิว หน้าผากมันแผล็บ แต่งหน้าเหมือนไม่ได้แต่ง(เพราะแต่งไม่เป็น) หรือผมหางม้าที่มัดเกล้าขึ้นไปชุ่ยๆเพราะไม่พกหวี หรือคุณป้าอาจคิดว่าเรายิ้มสวย เพราะก็เคยมีคนชมรอยยิ้มของเรามาก่อน เอ๊ะ หรือว่าหน้าตาอย่างเราจะไปละม้ายคล้ายคลึงกับสาวสวยในอุดมคติของป้าเค้า หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าป้าคนนี้ชื่นชม Oriental feature ของสาวไทยที่แสดงความสุภาพ อ่อนน้อม แตกต่างจากสาวชาติเดียวกับป้าอย่างมาก แหม เสียดายที่นาทีนั้นมัวแต่อึ้งกิมกี่ หมดโอกาสถามว่าที่พูดมานั้นแกหมายถึงอะไร

พูดถึงเรื่องความสวยงามแล้ว อุดมคติความงามของชาวตะวันตกนั้นเหมือนจะแตกต่างจากอุดมคติของชาวเอเชียโดยสิ้นเชิง เราอาจเคยได้ยินว่าคนเอเชียที่สวยจะต้องมีผิวที่ขาวอมชมพู ผิวเนียนละเอียด ดูอ่อนวัย ปราศจากริ้วรอย ส่วนสาวสวยชาวตะวันตกจะต้อง มีผิวสีแทนนวลเนียน ดูสุขภาพดี หากศึกษาจากผลวิจัยพบว่า ผิวงามตามความคิดของคนไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือ "ผิวเหลืองเหมือนทอง นวลเนียนเรืองรองใสสะอาด อ่อนนุ่ม เกลี้ยงเกลา และมีกลิ่นหอมตามตัวละครในวรรคดีไทย" เมื่อได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ความคิดเกี่ยวกับความงามของผิวก็เปลี่ยนไป จากสีเหลืองทองไปเป็นสีขาว เพื่อแสดงความทันสมัย และความศิวิไลซ์เหมือนชาวตะวันตก นอกจากงานผิวแล้วลักษณะภายนอกอื่นๆก็ตามมา เช่น จมูกโด่งคมสัน ตากลมโตสองชั้น ทรวงอกอวบชูชัน คางแหลม ขาเรียว สะโพกกลมกลึง ริมฝีปากอวบอิ่ม ฯลฯ ก่อให้เกิด concept การเสริมความงาม "สวยด้วยแพทย์" แพร่สะพัด แต่เมื่อถามว่า หากเสริมความงามออกมาจากหัวจรดเท้าครบทุกส่วนแล้วจะทำให้กลายเป็นคนสวยไหม กลับไม่มีใครให้คำตอบที่แน่นอนได้

คำถามคือ "คนสวยเป็นยังไง มองยังไงถึงคิดว่าสวย"

คำถามนี้ค่อนข้างจะเปิดกว้างและลุ่มลึก คำตอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน บางคนอาจมองจากรูปกายภายนอกโดยวาดภาพนางงาม นักแสดง นางแบบ ตัวละคร หรือแม้แต่ตัวการ์ตูน บ้างคิดว่าคนสวยต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่น เดินสวย วางท่าสวย ยิ้มสวย ไหว้สวย แต่งตัวดี น่ามอง หรืออาจกล่าวถึงบุคลิกหรือการแสดงออกเช่น เรียบร้อย สุภาพ อ่อนน้อม กล้าหาญ ใจดี มั่นใจ หรือแม้แต่บอกความสวยได้จากความรู้สึก เช่น มีเสน่ห์ เย้ายวน น่าค้นหา เป็นต้น ดังนั้นคำตอบมีได้ล้านแปด ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตอบมี concept เกี่ยวกับความสวยงามอย่างไร

หากจะกล่าวถึงทางธรรม คนสวยหรือคนงามในทางธรรมนั้นก็ควรมี "เบญจกัลยาณธรรม" คือ ธรรมที่ทำให้เป็นคนงาม หรือ ธรรมอันดีงาม ๕ อย่างเป็นคุณสมบัติประจำตัว ดังต่อไปนี้ 
๑. ใจดีมีเมตตา เมตตากรุณา คือ ความรักและปรารถนาดีที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข และมีความสงสารคิดที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ภัยความเดือดร้อนทั้งปวง เอื้อเฟื้อและแบ่งปันน้ำใจให้สังคม มีจิตใจเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ หรือแม้กระทั่งต่อหมู่สัตว์ทั้งหลาย มักจะมีหน้าตาที่ผ่องใสอิ่มเอิบ มีสง่าราศี ผิดกับคนที่มีจิตอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนต่อผู้อื่น ความเมตตาอย่างไม่มีประมาณนี้ ถือว่าเป็นตัวยาที่วิเศษในการที่จะเสริมความงามให้อย่างยิ่งยวด

๒. ใฝ่หาอาชีพสุจริต สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต ไม่หลอกลวงหรือโกงคนอื่นให้เสียหายไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ทรยศต่อสังคมประเทศชาติเช่น ค้ายาเสพติดหรือค้าประเวณีเป็นต้น ไม่เป็นคนลักเล็กโขมยน้อย อันจะก่อความเดือดร้อนตามมา เพราะการเห็นแก่สิ่งเล็กน้อย เห็นว่าไม่มีใครรู้ แต่ถึงแม้ไม่มีใครรู้ ฟ้าก็รู้ ถึงแม้ฟ้าไม่รู้ แต่เรารู้ ทำมาหากินที่สุจริตแม้จะรวยช้า แต่ก็มีความสุขนาน ดีกว่าทุจริตประพฤติมิชอบ รวยเร็ว แต่ก็อยู่ไม่นาน อยู่ได้ด้วยความหวาดระแวง ไม่มีความสุข หน้าตาก็ไม่ผ่องแผ้ว อันเกิดจากจิตใจที่ไม่สะอาด

๓. ไม่คิดเฟ้อฟุ้ง กามสังวร คือ การสำรวมระวัง ควบคุมตนในเรื่องกามารมณ์ ความต้องการทางเพศให้พอเหมาะพอดี ไม่ให้หลงใหลในรูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ตามกระแสแฟชั่นนิยม ที่ผิดธรรมผิดทางหรือเกินพอดี จนทำให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมต้องเดือดร้อน พอใจยินดีในคู่ครองตัว ไม่มัวเมาเจ้าชู้จนเกินงาม ควบคุม และยับยั้งอารมณ์ที่ก่อให้เกิดปัญหา รักษาจิตของตนดี ไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพราะบางครั้งอำนาจของอารมณ์อาจทำให้อนาคตพังทลายลงได้ในพริบตา นำมาซึ่งความน่ารังเกียจต่อผู้พบเห็น ฉะนั้นจะทำอะไรก็ให้อยู่ในความพอดี เมื่อพอดีก็จะพองาม ความงามที่แท้จริงก็จะตามมา

๔. มุ่งมั่นจริงใจ มีสัจจะ คือ มีความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ จริงใจต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่สับปรับกลับกลอกที่เรียกว่าหน้าไหว้หลังหลอก เป็นคนตรงต่อหลักการและความถูกต้อง การเป็นคนมีสัจจะ จะเป็นเสน่ห์อย่างมากในการเข้าสังคม เป็นที่เชื่อถือของคนในสังคม ไม่ว่าใครก็ตามจะให้ความไว้วางใจ อย่างไม่รีรอ นับว่าเป็นความงามที่มีผลสำคัญต่อชีวิต หน้าที่การงาน อันจะส่งผลถึงอนาคตความมั่นคงในชีวิต

๕. ทำสิ่งใดให้รู้ตัว มีสติสัมปชัญญะ คือ ฝึกตนให้เป็นคนหนักแน่นในอารมณ์ รู้จักยั้งคิด และควบคุมความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ สิ่งใดมีคุณให้โทษมีประโยชน์และไร้สาระ ตลอดจนระวังมิให้เป็นคนมัวเมาประมาทในทุกลมหายใจเข้าออก มีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะจิต คิดไม่ผิดพลาด พูดไม่ผิดพลาด และทำไม่ผิดพลาด การมีสตินับว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตอย่างมาก ความระลึกได้ และความรู้สึกตัวในทุกขณะที่กระทำ จะก่อให้เกิดความผิดพลาดน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย การมีสตินั้น เป็นข้อสำคัญที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน เพราะสติเป็นหัวใจของทุกอย่าง ของทุกการกระทำ หรือที่เรียกว่า สมาธิ ก็คือ การฝึกสติ นั่นเอง เมื่อฝึกสติบ่อยเข้า ความหลงมัวเมาในมายา ก็จะไม่มี เมื่อไม่มีความหลง การรู้ตามความเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นมา และเมื่อใดที่มีสติรู้ตามความเป็นจริงแล้ว จิตก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อไม่มีความทุกข์ ความสุขก็จะบังเกิด เมื่อสุขบังเกิด ความสบายใจ ความผ่องใส แช่มชื่น ความปีติ เอิบอิ่ม ที่ปรากฏในจิตใจ ก็จะแสดงออกมาทางสีหน้า กิริยาท่าทาง ที่เรียบร้อย งดงาม ความสวยงามที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้น (ที่มา : เสริมสวยด้วยพุทธวิธี)



โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่า"คนสวย"ดูที่ใจ ดูจากการกระทำ ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง ไม่ต้องมีรูปสมบัติหรือบุคลิกดีแบบอุดมคติ เพียงวางตัวดี คิดดี ทำดี รักและพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใคร แค่นี้เอง ท้ายนี้เดี๊ยนจึงขอสรุปด้วยกลอนที่ว่า

คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

ป.ล. ไม่ว่าตัวคุณเองจะมองว่าตัวเองสวยแบบไหน ขอเพียง"อย่าหยุดสวย" :)



วันพุธ, พฤษภาคม 27, 2558

The Happiness Project : ปฏิบัติการสรรค์สร้างความสุข

หลังจากสั่งซื้อและรอเพียงหนึ่งสัปดาห์ เดี๊ยนก็ได้หนังสือ ''The Happiness Project''
เขียนโดย Gretchen Rubin มาครอบครองสมใจ หากถามว่าทำไมต้องขวนขวายหาซื้อในเมื่ออันที่จริงก็หาอ่านได้จากห้องสมุดหรือหยิบยืมจากเพื่อนก็ได้ ก่อนอื่นขอสารภาพก่อนเลยว่าก่อนที่จะเปิดอ่านเดี๊ยนเดาจากปกว่ามันก็คือหนังสือ how to ที่จะบอกเคล็ดลับการเติมความสุขให้ตัวเอง แต่พอได้อ่านคำนำจากผู้เขียนก็พบว่า อันที่จริงมันก็คือ หนังสือที่เล่าประสบการณ์ของเธอเองจากการค้นคว้าหาความหมายของความสุข รวมถึงทฤษฎีและเคล็ดลับการปฏิบัติตัวเพื่อนำมาซึ่งความสุข 
ตัวผู้เขียนเองได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเธอมีความสุขรึเปล่า อันที่จริงตัวเธอเองก็ค่อนข้างจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีงานที่รักและก็ไม่คิดว่าชีวิตหดหู่หรือไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคิดว่ามันน่าจะสุขมากขึ้นได้อีก ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนไม่เพียงแค่ลิสต์วิธีปฏิบัติลงไปในหนังสือนะ แต่ตัวเธอเองได้นำมาทดลองปฏิบัติกับตัวเองเป็นเวลาสิบสองเดือน เพื่อพิชิตเป้าหมายความสุขของเธอเอง โดยเธอจะกำหนดหัวข้อที่เธอคิดอยากปรับปรุงตัวเองในด้านต่างๆ เช่น งาน, ความรัก, ครอบครัว, เพื่อน ฯลฯ แต่ละเดือนเธอก็จะยกพฤติกรรมบางอย่างที่เธออยากปรับปรุง แก้ไขเพราะคิดว่าถ้าเปลี่ยนมันได้ เธออาจมีความสุขมากขึ้น 
และนี่คือเหตุผลที่เดี๊ยนคันไม้คันมือ อยากได้มันมาครอบครอง เพื่อซึมซับแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้และนำเคล็ดลับไปปฏิบัติเพื่อปรับปรุงตัวเองบ้าง

***อ่านจบเมื่อไหร่เดี๊ยนจะมาบรรยายความประทับใจพร้อมทั้งข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้นะฮ้าาา***








วันจันทร์, พฤษภาคม 25, 2558

Fresh haircut ทรงนี้แม่จัดให้

ตั้งแต่สองแม่ลูกย้ายมาอยู่ฟินแลนด์ มีสิ่งหนึ่งที่แม่หัดทำและทำจนชำนาญจนเกิดเป็นความภาคภูมิใจส่วนตัว นั่นก็คือแม่ไม่เคยส่งลูกไปร้านตัดผมเลย เพราะแม่ประหยัดเงินด้วยการตัดผมลูกชายและสามีด้วยตัวเอง 

อุปกรณ์ไม่แพงและหาไม่ยาก ซื้อเพียง kotiparturikone หรือ hiustenleikkuukone ที่มีขายตามท้องตลาด ส่วนสถานที่ก็ใช้ห้องน้ำที่บ้านนั่นล่ะ วางเก้าอี้หนึ่งตัว ใช้ผ้าหรือใยขัดตัวปัดเศษผมออกจากตัว พอตัดเสร็จก็แค่กวาดเศษผมแล้วอาบน้ำสระผมพร้อมกับล้างห้องน้ำไปเลยทีเดียว ประหยัดและสะดวกมากมาย อีกทั้งไม่ต้องจองเวลาที่ร้านตัดผมล่วงหน้า หรือนั่งรอคิวให้เสียเวลา 

ครั้งแรกที่ตัดอาจดูเก้ๆกังๆเพราะผมของแต่ละคนแตกต่างกัน รูปทรงศีรษะก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความยาก-ง่ายในการตัดผมด้วยเจ้า hiustenleikkuukone นี้ ผมของคุณสามีตัดค่อนข้างง่าย เพราะเป็นผมเส้นเล็กบางและผมไม่หนา ทั้งรูปศีรษะทุยจึงไม่มีปัญหาในการเดินเครื่องรอบๆศรีษะ แต่ลูกชายมีผมค่อนมาทางคนเอเชีย คือผมหนาและเป็นเส้นแข็ง อีกทั้งรูปทรงศีรษะไม่ทุยอย่างทั่วถึง คือด้านหลังจะแบนราบกว่าศีรษะของชาวตะวันตกทั่วไป การเดินเครื่องรอบๆศีรษะจึงยากกว่ากรณีของคุณสามี แม่จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กรรไกรตัดผมให้สั้นลงครึ่งหนึ่งก่อนเดินเครื่องตัดผมรอบๆให้ทั่วถึง
ผลที่ได้ตามรูปเลยค่ะ พ่อลูกทรงเดียวกันเป๊ะ!

ก่อนตัดผม

หลังตัดผม ลูกชายชอบใจมาก ส่วนคุณแม่ภูมิใจไม่เสียตังค์ ฮ่าฮ่า


ทรงนี้ตัดให้คุณสามีมาตลอดสามปี บางครั้งสั้นเกินไปหรือบางทีก็แหว่งบ้าง แต่ฮีไม่เคยบ่นเลย เพราะไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าตัดผมไงล่ะ

และอุปกรณ์ที่ใช้จะหน้าตาประมาณนี้


วันเสาร์, พฤษภาคม 23, 2558

♫ Me ei olla enää me : ไม่มีคำว่า"เรา"อีกต่อไป

ช่วงนี้ได้ฟังเพลงของ SANNI เกือบทุกวันทางวิทยุ เพราะเพลง 2080-luvulla ของนักร้องคนนี้กำลังฮิท แต่เพลงที่ตรงใจเรามากที่สุดกลับเป็นเพลงนี้ เนื้อเพลงมันใช่ เสียงร้องและเมโลดี้ยิ่งกินใจ ทำให้นึกถึงสาวน้อยคนหนึ่งที่มีเหตุต้องเลิกรากับแฟนหนุ่ม แต่เพราะอยู่เมืองเดียวกัน หรืออาจมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน เลยทำให้มีโอกาสพบเจอกันเป็นครั้งคราว แม้จะเลิกรากันแต่ก็ยังมีความผูกพัน ยังมีเยื่อใยที่ทำให้ลืมคนรักไม่ได้ หรือเพราะเลิกกันไม่นานเมื่อสถานะเปลี่ยนไปจึงยังทำใจลำบาก และอาจมีความรู้สึกขื่นขมที่ตอนนี้คนที่เคยรักไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เช่น ไม่เดินกลับพร้อมกัน ไม่เสนอเสื้อให้คลุมกันหนาว หรือแม้เค้าอาจบังเอิญเดินมาส่งที่บ้านก็ไม่เชิญเค้าเข้าบ้านอีกแล้ว 
(จากเนื้อเพลง)  เพราะว่าเมื่อเลิกกันแล้ว คำว่า"เรา"มันก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เนื้อเพลงบรรยายว่า 
Katselen sua sä näytät samalta : ฉันมองดูเธอ เธอก็ยังดูเหมือนเดิม
Vaikka en tunne enää sinua : แต่ถึงยังงั้นฉันก็ไม่รู้จักเธออีกต่อไปแล้ว
เศร้านะ แต่เวลาจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นถ้าไม่ไปสะกิดแผลใหเจ็บซ้ำซ้อน 
เราเชื่อว่าใครหลายคนก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้ และก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี หรือหากใครที่กำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ 
***คิดซะว่าถึงไม่มีคำว่า"เรา"แต่คำว่า"ฉัน"ยังอยู่*** 
เวลานี้รักตัวเองให้มากเข้าไว้ แล้วใจจะสงบขึ้นค่ะ
ฝากอ่านบทความ The Missing Piece Meets The Big O
ที่สอนเกี่ยวกับความรักด้วยนะคะ

 



Me ei olla enää me
Sanni

Katselen sua sä näytät samalta
Mutta äänessäs on jotain uutta
Onpa kiva pitkästä aikaa jutella
Vaikka en tunne enää sinua

Koska me ei olla enää me
Ostetaan joululahjat jollekin toiselle
Sä et kuulu enää mulle
Kun lähdet en perääsi enää kävele
Koska me ei olla enää me
Voit saattaa kotiin mut et pääse enää sisälle
Ei haavat niitä repimällä parane
Joten käänny ja kävele
Koska me ei olla enää me

Marraskuun viima vasten puhaltaa
Helsingin kadut tulvii roskaa
Mulla on kylmä ja sen kyllä huomaat
Mutta et tarjoo sun takkia

Koska me ei olla enää me
Ostetaan joululahjat jollekin toiselle
Sä et kuulu enää mulle
Kun lähdet en perääsi enää kävele
Koska me ei olla enää me
Voit saattaa kotiin mut et pääse enää sisälle
Ei haavat niitä repimällä parane
Joten käänny ja kävele
Koska me ei olla enää me

Ei enää me

Katselen sua sä näytät samalta
Vaikka en tunne enää sinua

Koska me ei olla enää me
Ostetaan joululahjat jollekin toiselle
Sä et kuulu enää mulle
Kun lähdet en perääsi enää kävele
Koska me ei olla enää me
Voit saatta kotiin mut et pääse enää sisälle
Ei haavat niitä repimällä parane
Joten käänny ja kävele
Koska me ei olla enää me

วันพฤหัสบดี, เมษายน 16, 2558

Suomalainen Kirjakauppa สอนใจ

''The Happiness Project'' by Gretchen Rubin is currently on sale at Suomalainen Kirjakauppa for 13,95 euro (English language-soft cover) or 12,95 euro in Finnish translation. I really really really recommend it....and at the same time wonder if someone would be kind enough to buy me this book as a gift. Update: Hubby has kindly purchased this book from adlibris.fi for me, which offers half price (6,30 e. ; even twice cheaper than that of Suomalainen Kirjakauppa's sale) plus free delivery. WTH!!! Lesson learned: ALWAYS do research before you make a decision to purchase something regardless of how big or small that is. Do not rush. Keep your eyes open and make sure you have done price comparison, especially when buying a book in Finland cuz BOOKS ARE EXPENSIVE HERE!!!

วันหนึ่งหลังเลิกงานมีความจำเป็นต้องเดินไปซื้อของที่ห้าง Prisma ใกล้บ้าน เมื่อได้ของแล้วกำลังจะเดินกลับบ้าน จู่ๆก็เกิดอยากแวะเข้าร้านหนังสือ Suomalainen Kirjakauppa แล้วก็มาจ๊ะเอ๋เข้ากับหนังสือ ''The Happiness Project'' เขียนโดย Gretchen Rubin กำลังลดราคาอยู่ จาก 25 ยูโร เหลือ 12,95 ยูโร แต่เป็นฉบับที่แปลเป็นภาษาฟินนิช ไม่รอช้าเดี๊ยนรีบถลาเข้าไปถามพนักงานว่า มีฉบับดั้งเดิมที่เป็นภาษาอังกฤษไหม นางรีบค้นหาจากคอมพิวเตอร์แล้วบอกเราว่า ที่ร้านไม่มีแต่สามารถสั่งจองแล้วมารับที่ร้านได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งถ้าเป็นฉบับภาษาอังกฤษแบบปกอ่อนจะราคา 13,95 ยูโร และปกแข็งราคาจะสูงขึ้นอีกประมาณสิบยูโร ณ เวลานั้นคิดว่า ราคานี้ไม่น่าจะแพงเกินไป แถมลดราคาลงมาเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจสั่งจองเหตุเพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ (จำได้ว่าปีที่แล้วหายืมหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดประจำเมืองแต่เจอเพียงฉบับภาษาฟินนิช บรรณารักษ์ก็แนะให้ยืมแบบทางไกล Kaukolainaus จากห้องสมุดอื่นทั่วประเทศหรือจากประเทศเพื่อนบ้านแถบสแกนดิเนเวีย โดยต้องเสียค่าบริการยืม 7 ยูโร (ยืมภายในประเทศ) หรือ 10 ยูโรต่อหนึ่งออเดอร์หากยืมจากต่างประเทศ จำใจยืมทางนี้เพราะหากไม่ได้อ่านเดี๊ยนจะต้องลงแดงตายแน่ๆ อาการหนักนะเนี่ย! แต่พอยืมมาแล้วกลับได้อ่านเพียงสองบทแล้วต้องจำใจส่งคืน เนื่องจากอ่านไม่ทันและในช่วงเดียวกันเดี๊ยนต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบโทเฟลนั่นเอง ไม่คุ้มกับเงินเจ็ดยูโรที่เสียไปจริงๆเล้ยยยย)

พอกลับถึงบ้านเล่าให้สามีฟัง ฮีเสนอตัวซื้อหนังสือเล่มนี้ให้แต่มีข้อแม้ว่าต้องเปรียบเทียบราคาจากแหล่งอื่นก่อน เพื่อความชัวร์ว่าราคานี้ถูก(และคุ้มค่า)ที่สุดแล้ว เพราะปกติแล้วร้าน Suomalainen Kirjakauppa มักจะวางขายหนังสือที่ราคาแพงกว่าแหล่งอื่นเพราะร้านเค้าหญ่าย มีสาขามากมายทั่วประเทศ เค้าก็เลยกำหนดราคาโดยไม่สนคู่แข่ง(เพราะแทบไม่มีคู่แข่งเลย) และก็ บิงโก้! จริงอย่างที่คุณสามีของเดี๊ยนคิดไว้ไม่มีผิด ร้านขายหนังสือออนไลน์ adlibris.fi ขายอยู่ที่ราคาเพียง 6,30 ยูโร (หั่นราคาลงอีกครึ่งหนึ่งของราคาที่ลดแล้วจากSK OMG!!) แถมส่งถึงบ้านฟรีอีกด้วย สบายกระเป๋าคุณสามีเลยล่ะงานนี้

ดังนั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในประเทศซัวมิแห่งนี้ไม่ว่าเราจะต้องการซื้ออะไร เล็กหรือใหญ่ ไม่ควรรีบตัดสินใจ ควรเปิดหูตาให้กว้าง หาข้อมูล เปรียบเทียบราคา และหากเป็นไปได้ให้อ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ โดยเฉพาะหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ถือว่าเป็นสินค้าราคาแพงเลยทีเดียว

ปล.หากถามว่าเดี๊ยนเข็ดหลาบกับร้าน SK มั๊ย ตอบได้เลยว่า ไม่เลยคร้าาา ไม่ได้เกลียดชังร้านที่ขายของแพงนะ (เพราะแอบได้ยินมาว่าร้านขายยาที่เดี๊ยนทำงานอยู่ก็ขายของแพงเช่นกัน แหะแหะ)แต่บางช่วงร้าน SK ก็มีโปรโมชั่นลดราคาเครื่องเขียนหรืออุปกรณ์งานประดิษฐ์นะ ราคาก็ไม่ถึงกับไม่น่าคบหา แต่ก็นะเมืองที่เดี๊ยนอยู่น่ะมันเล็ก ร้านขายหนังสือหรือเครื่องเขียนก็ไม่มีเยอะแยะมากมาย หากต้องการของด่วนก็คงต้องพึ่งพิงร้านนี้แหละเนอะ เฮ้อ ก้มหน้าก้มตารับมือกับระบบธุรกิจแบบ Monopoly ของฟินแลนด์ต่อปายย :(

***โปรดติดตามอ่านเหตุผลที่ต้องมีหนังสือ''The Happiness Project''มาไว้ในครอบครองได้ในตอนต่อไป***

วันอาทิตย์, เมษายน 05, 2558

ข้อความคมๆจากหนังสือ LIVE WIRE


'' เรามักได้รับการปลอบใจในยามที่เราสูญเสียว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกบาดแผล นั่นมันเป็นเรื่องงี่เง่า ความจริงก็คือ คุณรู้สึกเสียหายย่อยยับ คุณเศร้าโศกเสียใจ คุณร่ำไห้จนถึงจุดที่คุณคิดว่าคุณจะไม่มีวันหยุดร้องได้อีกแล้ว-- แล้วคุณก็มาถึงขั้นที่สัญชาติญาณการเอาตัวรอดของคุณเข้าควบคุม คุณหยุด คุณเพียงแค่ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเอง ''คิดถึงเรื่องนั้น'' อีกต่อไปเพราะความเจ็บปวดมันมากเหลือเกิน คุณปิดกั้น คุณปฎิเสธมัน แต่คุณไม่ได้รับการเยียวยาจริงๆหรอก ''

จากข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ LIVE WIRE เขียนโดย Harlan Coben
แปลความตามความรู้สึกโดย Mayuree Reunsati-Salmi

ใครที่ชอบนวนิยายแนวลึกลับระทึกขวัญ ขอแนะนำผลงานของ Harlan Coben นะคะ อ่านหนังสือของนักเขียนคนนี้มาห้าเล่มแล้ว ไม่เคยผิดหวังเลย


วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 21, 2558

Restaurant Day's new theme : home style Nepalese food



พวกเราทำร้านอาหารในนาม Sano Vhancha เป็นภาษาเนปาล แปลว่า ห้องครัวเล็กๆ ทำกันมาปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว มีสมาชิกหลักสี่คน โดยสองคนเป็นคนเนปาล หน้าที่หลักเป็นพ่อครัว โดยเราเป็นผู้ช่วยและรับผิดชอบทำของหวาน และสมาชิกอีกคนเป็นคนฟินน์ ดูแลเรื่องการประชาสัมพันธ์และบัญชี ก่อนวันที่เปิดร้านพวกเราก็ต้องวางแผน คิดเมนู(ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอาหารเนปาล) วางผังการเสริฟอาหาร หาสถานที่ ลงข่าวโฆษณา เปิดจองโต๊ะ ซื้ออาหาร เตรียมเครื่องปรุง ตกแต่งสถานที่ ฯลฯ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในวันเปิดร้านพวกเราจะยุ่งมาก แทบไม่มีเวลาพักทานอาหารกันเลย แต่สนุกมาก เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมและถือเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไปด้วยในตัว แต่ละปีพวกเราคิดค้นธีมร้านไม่ซ้ำกัน เช่นสองปีก่อนเราจัดร้านในหัวข้อ อาหารเนปาลของชนกลุ่มเนวาร์ ปีถัดมาเรากางเต้นท์บนถนนคนเดินเพราะธีมร้านของเราคืออาหารข้างถนน (Street food) และล่าสุดเราจัดธีมเป็นอาหารเนปาลพื้นบ้าน แบบที่ทำทานที่บ้านจริงๆ (home style Nepalese food)

บรรยากาศก่อนเปิดร้าน 

โชคดีที่วันเปิดร้านพวกเรามีเพื่อนๆอาสามาช่วยเสริฟอาหาร เก็บโต๊ะและล้างจาน งานจึงผ่านไปด้วยดี โดยส่วนตัวมีโอกาสพบปะเพื่อนใหม่ และพัฒนาทักษะการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม และที่สำคัญได้ซึมซับบรรยากาศห้องครัวกลิ่นอายชมพูทวีป และลิ้มรสอาหารที่ที่มีกลิ่นและรสชาติของเครื่องเทศแบบจัดเต็ม ทำให้ตัวเองสนใจทำอาหารมากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มจากอบขนมเล็กๆน้อยๆก่อนแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่อไปอาจมีส่วนร่วมในการปรุงอาหารมากขึ้นและธีมใหม่ของพวกเราครั้งหน้าอาจมีหน้าตาเป็นฟิวชั่นฟู้ด เนปาลปนไทยก็อาจเป็นได้
ป.ล. หากใครสนใจอยากจัดร้านแบบนี้ ก็สามารถหาข้อมูลและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ restaurantday.org นะคะ ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยค่ะ น่าสนใจนะคะหากมีสถานที่และมีไอเดียเก๋ๆก็น่าจะลองทำดูนะคะ 

ด้านล่างตัดมาจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ลงข่าวของร้านเราจากวัน Restaurant day นี้เองค่ะ

Keski-Uusimaa 16.2.2015.

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 09, 2558

Baked To Bite : Veggie-sausage Gratin

ʕ•ᴥ•ʔ ▧.▨ Veggie-sausage Gratin ▧.▨ ʕ•ᴥ•ʔ

Many of you might wonder what Gratin means, and what kind of dish Gratin is. Gratin derives from the French term ''le gratin'' which signifies the "upper crust". Having been borrowed into English, Gratin, therefore, means ''A top crust consisting of browned crumbs and butter, often with grated cheese'' (ref: www.thefreedictionary.com). Basically, Gratin dish is prepared in a shallow baking dish or bowl and cooked in a way that the surface of the food (usually prinkled with cheese) becomes golden brown and crispy. 


And...here is Veggie-sausage Gratin, I have baked for the first time.
Recipe can be found from this link (in Finnish).
Enjoy baking !!! :)






วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 07, 2558

Baked To Bite : Tosca Cake

✤✤✤❧ Tosca Cake ❧✤✤✤
This is my third time baking Tosca cake (Toscakakku) with good results each time. Thanks to my Finnish language classmate, Rove for this super simple recipe. Follow this link for a quick & easy recipe online, and be careful not to burn it.

p.s. Baking is actually a lot more fun than I used to think. Nautitaan leipomisen ilosta! Enjoy baking!!! :)



วันจันทร์, มกราคม 19, 2558

Baked To Bite : Cranberry Pistachio Biscotti

✻ ✻✻ Cranberry Pistachio Biscotti ✻✻✻
Healthy Italian cookie, easy-to-follow recipe, and fantastic result. Love the crunchy pistachio bite and the soft & sweet taste of cranberry. It is also possible to adjust the recipe to make biscotti more authentic & tasty. So next time, I might try dipping one end in white chocolate to finish. Yum yum wink emoticon
Tips: The dough is super sticky, so make sure to wet your hand with cool water when you form a log on a baking sheet. And do let the logs cool down before slicing them, otherwise they will crumble and fall apart (I messed up this step, so mine look a bit crumbly).
Watch a video and try this recipe from this link.
Enjoy baking everyone !!! See ya next month.