วันจันทร์, มีนาคม 18, 2556

ICE (In Case of Emergency) contact person(s)

This is a very simple thing to do; add ICE (In Case of Emergency) to your family members' names on your mobile phone, or write ICE together with their names and numbers on a card/plastic card/note and keep in your wallet where it is relatively visible. State as many as you need i.e. Mom-ICE1, Dad-ICE2,...This will help polices/emergency staffs to contact your family members in case you are involved in a serious accident and/or unconscious.

You may want to pass this message on to your friends and family.

ในกรณีที่เราได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง หรือหมดสติ วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเจ้าหน้าที่จะติดต่อญาติได้ทันการก็คือ ให้คุณบันทึกชื่อบุคคลสำหรับติดต่อเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน หรือ ICE ไว้ในมือถือ หรือเขียนชื่อและเบอร์ติดต่อลงบนการ์ดแข็งสอดเก็บในกระเป๋าเงินในตำแหน่งที่ค้นหาง่าย สามารถระบุได้หลายชื่อตามลำดับ เช่น แม่-ICE1, พ่อ-ICE2 เป็นต้น ฝากส่งข้อความนี้ต่อให้เพื่อนๆและครอบครัวของคุณด้วย




วันเสาร์, มีนาคม 16, 2556

ปีศาจภายในตัวเรา


ในเดือนกรกฎาคม ปี 1961 สแตนลีย์ มิลแกรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ทำการทดลองทางจิตวิทยาสำคัญครั้งหนึ่ง ต่อมาเรียกชื่อว่า The Milgram Experiment

การทดลองนี้ประกอบด้วยตัวอย่างทดลองสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำหน้าที่เป็นครู 

กลุ่มหลังทำหน้าที่เป็นนักเรียน ทดลองทีละคู่โดยมี สแตนลีย์ มิลแกรม เป็นผู้คุมการทดลอง นักเรียนอยู่ที่ห้องหนึ่ง ครูกับผู้คุมอยู่อีกห้องหนึ่

การทดลองเริ่มด้วยผูกข้อมือของนักเรียนด้วยเส้นลวดเชื่อมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครูทำหน้าที่ป้อนคำถามแก่นักเรียน หากนักเรียนตอบไม่ได้ ครูจะลงโทษนักเรียนคนนั้น โดยกดปุ่มปล่อยประแสไฟฟ้าไปชอร์ตนักเรียน ปุ่มเหล่านี้เรียงจากค่าต่ำสุดไปถึงสูงสุด เมื่อตอบผิดครั้งแรก นักเรียนจะถูกลงโทษด้วยกระแสโวลต์ต่ำ และจะเพิ่มขึ้น 15 โวลต์ทุกๆ ครั้งที่ตอบผิด บทลงโทษสูงสุดคือ 450 โวลต์ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์

ความตึงเครียดเกิดขึ้นกับครูทุกคน เพราะเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าไปหลายครั้ง นักเรียนจะร้องด้วยความเจ็บปวด จนถึงจุดจุดหนึ่ง นักเรียนจะขอร้องครูไม่ให้ลงโทษพวกเขา บางคนทุบกำแพง บางคนร้องไห้ ครูบางคนลังเลและบอกผู้คุมว่าจะขอเลิกทดลอง บางคนบอกว่าจะคืนเงินค่าจ้าง ผู้คุมตอบว่า “เลิกไม่ได้ โปรดเดินหน้าทดลองต่อไป”

บางครั้งนักเรียนปฏิเสธที่จะตอบ เพราะกลัวตอบผิด ครูจะถือว่านักเรียนตอบคำถามนั้นผิด และกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า

แม้จะไม่รู้สึกสบายใจนัก ผู้ที่รับหน้าที่เป็นครูส่วนใหญ่ก็ดำเนินการต่อไปจนจบ ครูบางคนทนไม่ได้จริงๆ ก็เดินออกจากห้องไป แต่ครูบางคนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

หลังการทดลองจบแล้ว ผู้คุมจะอธิบายให้ครูฟังว่าการทดลองนี้ไม่มีการปล่อย

กระแสไฟฟ้าจริงแต่อย่างใด นักเรียนที่มาทดลองทำหน้าที่เล่นบทหลอกครูเท่านั้น เสียงร้องของนักเรียนเป็นเสียงที่อัดเทปล่วงหน้า เพื่อหลอกดูปฏิกิริยาของครู 
ครูก็คือกลุ่มตัวอย่างที่แท้จริงของงานนี้

แม้ The Milgram Experiment ได้รับการวิพากษ์ว่าผิดจรรยาบรรณของการทำวิจัย แต่ผลการค้นพบน่าสนใจอย่างยิ่ง 

มันบอกว่ามนุษย์เราสามารถปฏิบัติตามคำสั่งให้กระทำเรื่องเลวร้ายได้ทั้งที่รู้ว่ามันผิด

การค้นพบนี้อธิบายว่า มนุษย์เราเชื่อฟังอำนาจเบื้องบนโดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าเบื้องบนจะออกคำสั่ง        ให้ทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน 

นี่อาจอธิบายว่าทำไมทหารนาซีจึงสามารถฆ่าชาวยิวหกล้านคนในสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งการทรมานนักโทษทุกรูปแบบ ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและผิดศีลธรรม

นี่เป็นภาพที่เราเห็นเป็นประจำในสังคมบ้านเรา ข้าราชการรับคำสั่งรัฐมนตรีให้ปล้นชาติโดยไม่แย้ง ทั้งที่รู้โดยมโนธรรมและศีลธรรมว่ามันไม่ถูกต้อง อัยการปล่อยคนร้ายให้พ้นมือกฎหมาย ตำรวจรับใช้โจรที่เล่นการเมืองจนเป็นใหญ่ พัสดีโค้งคำนับนักโทษ ครูบาอาจารย์รับใช้นักการเมืองชั่ว ฯลฯ

ทหารนาซีที่ฆ่าชาวยิวก็เป็นคนธรรมดา รักครอบครัว เข้าโบสถ์ ตำรวจ พัสดี ครูอาจารย์ก็เป็นคนธรรมดา มีศาสนา เข้าวัดเข้าวา แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนเป็นปิศาจได้

ในชีวิตจริง คำสั่งมาในหลายรูปแบบและมีความรุนแรงต่างกัน ตั้งแต่การฆ่ากัน การยกพวกตีกัน ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ เช่น ประเพณี ‘ว้าก’ ในบางมหาวิทยาลัย

นักเรียนที่ยกพวกตีกันอาจมาจากครอบครัวที่ดี พ่อแม่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี แต่ภายใต้บางสถานการณ์ เมื่อพวกเขาตกอยู่ในคำสั่งให้ฆ่า หรือทำร้ายนักเรียนโรงเรียนอื่น ก็ไม่ปฏิเสธ

หลายคนเสพยาเพราะเพื่อนทุกคนเสพยา “ไม่งั้นจะเสียเพื่อน”

ในประเพณีรับน้อง ในเมื่อทุกคนก็ ‘ว้าก’ ใส่รุ่นน้อง เราก็ต้องทำด้วย “ไม่งั้นจะเข้ากับใครไม่ได้” ฯลฯ

ความแตกแยกของสังคมบ้านเราในช่วงหลายปีนี้ สร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้เราทำร้ายเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น ฆ่าพวกมันให้ตาย เอามันให้หนัก “เพราะพวกมันไม่ใช่พวกเรา” ในที่สุดก็ไม่ต่างจากพวกนาซีที่ฆ่าชาวยิวไปหกล้านคน

คนเรามีข้ออ้างเสมอเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือคำอธิบาย เมื่อทำเรื่องแย่ๆ : “ฉันทำตามหน้าที่”,

“ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”, “เบื้องบนสั่งมา ไม่ทำไม่ได้”, “เราต้องเคารพคำสั่ง”, “มันเป็นประเพณีของโรงเรียนเรา” ฯลฯ

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดฝังในยีนของเราทุกคน แต่จุดหนึ่งที่ทำให้เราต่างจากสัตว์อื่นๆ อยู่ที่เราพัฒนามโนธรรม ความรู้ถูกรู้ผิด และเราพัฒนาสังคมให้ทุกหน่วยมีเจตจำนงอิสระมาก

เท่าที่จะมีได้ เรามีเจตจำนงอิสระที่จะทำดีหรือทำชั่ว

ไม่ช้าหรือเร็ว เราแทบทุกคนก็ต้องผ่านการทดลองกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า จะเลือกกดปุ่มหรือไม่กดปุ่มอยู่ที่เรา

เราทุกคนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเป็นปิศาจได้ก็จริง 

แต่หากเราเลิกเชื่อว่าเราสามารถเลือกที่ทำดีทำชั่วได้ เลือกที่จะมีความสุขได้ ชีวิตของเราจะเหลือคุณค่าอะไร?

มนุษย์อาจเป็นสัตว์ที่อ่อนแอโดยสันดาน แต่หากเราใช้เหตุผลนี้เป็นข้อแก้ตัวว่าเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อต้านอำนาจเบื้องบนที่เลวร้าย ก็เป็นเพียงคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เพราะประวัติศาสตร์มีตัวอย่างคนมากมาย 

ที่ปฏิเสธกระทำตามคำสั่งเลวร้าย

เราสามารถเลือกได้ 35% ของกลุ่มตัวอย่าง The Milgram Experiment เดินออกจากห้อง ปฏิเสธที่จะกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทำร้ายคนอื่น

วินทร์ เลียววาริณ
16 มีนาคม 2556






วันจันทร์, มีนาคม 11, 2556

Karhu ja muurahainen: นิทานเรื่อง หมีตัวโตกับมดตัวจิ๋ว


วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ว่างมากกกกก เลยขอฝึกปรือวิชาแปลภาษาซักหน่อย ถือโอกาสนำนิทานเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านมาขณะเตรียมสอบ ลองแปลเล่นๆก่อนเนื่องจากเจ้าของบล็อคเพื่งเรียนภาษาได้ปีกว่าๆ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า หมีตัวโตกับมดตัวจิ๋ว

Karhu ja muurahainen : หมีตัวโตกับมดตัวจิ๋ว

Karhu tapasi metsässä muurahaisen. Se katseli säälivästi pientä eläintä suuren männyn juurella.


"Kyllä olet pieni ja vähäpätöinen. Katsohan miten suuri ja mahtava minä olen!" Karhun ylvästely ei tehnyt muurahaiseen kovinkaan suurta vaikutusta. Se vilkaisi karhua huolettomasti ja sanoi:
"Sinä olet kyllä paljon minua suurempi ja voit olla voimakaskin, mutta et niin voimakas kuin minä!"


Karhua väite huvitti. Sitä alkoi naurattaa niin kovasti, ettei naurusta ollut ollenkaan tulla loppua. Muurahainen odotti kohteliaasti, kunnes karhu oli rauhoittunut ja sanoi sitten: "Mehän voimme koettaa. Kumpikin kantaa itsensä kokoisen kiven suussaan männyn latvaan."
"No kaikkea tässä vielä pitää yrittää!" murisi karhu, mutta suostui kuitenkin kilpaan.


Muurahainen otti maasta kiven, joka oli samankokoinen kuin se itse, ja kantoi sen suussaan männyn latvaan. Sieltä se huusi "Täällä ollaan!" ja toi kiven saman tien alas. Karhu koetti ottaa suuhunsa kiveä, joka olisi yhtä suuri kuin se itse, mutta eihän siitä mitään tullut. Kiven viemisestä puun latvaan ei kannattanut edes haaveilla. Karhun täytyi myöntää häviönsä pienelle muurahaiselle. Niin vihaiseksi se kuitenkin tuli tappiostaan, että sieppasi muurahaisen kämmeneensä ja söi sen. Ja siitä lähtien ovat karhut syöneet muurahaisia.

เจ้าหมีตัวโตเดินอยู่ในป่าแล้วมาจ๊ะเอ๋เจอกับเจ้ามดตัวจิ๋วเข้า มันมองสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่อยู่ใต้ต้นสนขนาดใหญ่ด้วยความสมเพช
"เจ้ามดเอ๋ย เจ้าก็เป็นแค่มดตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย ดูสิว่าเราตัวโตและแข็งแรงขนาดไหน "  คำพูดที่โอ้อวดของเจ้าหมีไม่ได้ทำให้เจ้ามดสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มันเหลือบมองเจ้าหมีเล็กน้อยแล้วตอบว่า :
"แน่หล่ะ ท่านมีขนาดใหญ่โตกว่าตัวข้า และยังแข็งแรงอีกด้วย แต่ท่านไม่ได้มีพละกำลังอย่างที่ข้ามีหรอก"

เจ้าหมีรู้สึกขัน จึงเริ่มหัวเราะหนักจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจ้ามดน้อยรออย่างใจเย็นจนเจ้าหมีหยุดหัวเราะ แล้วพูดต่อว่า : "เรามาลองทดสอบดูก็ได้ ว่าใครกันที่สามารถคาบหินขนาดเท่าตัวเองแล้วแบกขึ้นไปถึงยอดต้นสนได้"
"ฮึ่ม ยังไงๆก็ต้องพยายามให้ได้สินะ" เจ้าหมีคำราม แต่ก็ยอมตกลงแข่งขันกับเจ้ามดน้อย

เจ้ามดน้อยคาบหินขนาดเท่ากับตัวมันเองขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วเริ่มไต่ขึ้นไปบนต้นสนจนถึงยอดสน แล้วตะโกนลงมาว่า "ข้ามาถึงยอดแล้ว!" แล้วจึงคาบก้อนหินก้อนเดิมลงมาตามทางเดิม เจ้าหมีพยายามคาบก้อนหินขนาดเท่าตัวมันเอง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะทำอย่างไรก็ยัดก้อนหินที่ใหญ่โตเข้าปากของมันไม่ได้ การคาบก้อนหินขึ้นไปให้ถึงยอดต้นสนไม่เคยอยู่ในความคิดของมันมาก่อนเลย ท้ายที่สุดเจ้าหมีก็จำใจต้องยอมแพ้ต่อเจ้ามดตัวจ้อย เจ้าหมีรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมากกับความพ่ายแพ้ของตัวเอง มันกลับคว้ามดตัวจิ๋วด้วยอุ้งมือแล้วกินเจ้ามดเสียเลย นับตั้งแต่นั้นมาหมีจึงกินมดเป็นอาหาร


ที่มา http://www.suurpedot.fi/page.asp?Section=61&Item=626


คำศัพท์ :

vähäpätöinen = ไม่สำคัญ, ไม่มีคุณค่า / insignificant

ylvästely = การโอ้อวด / arrogance

voimakas = มีพละกำลัง, แข็งแรง / strong, powerful 

myöntää häviönsä (kenelle) = ยอมพ่ายแพ้/ give in, surrender

tulla vihaiseksi = รู้สึกโกรธขึ้นมา/ become angry

tappio = ความพ่ายแพ้/ defeat

siitä lähtien = นับตั้งแต่นั้นมา/ since then, ever since


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ควรท้าประลองกับอันธพาล เพราะแม้เราจะเอาชนะได้อย่างขาวสะอาด แต่อันธพาลอาจหาเรื่องเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบ...

วันอาทิตย์, มีนาคม 10, 2556

The Highest Man(s)

Vitidnan Rojanapanich, the first Thai climber to summit Mt Everest posting his beloved King's portrait at the top of the world !!!





THE HIGHEST MAN

It takes an immense effort of will to conquer Mount Everest. Vitidnan Rojanapanich proved he had that determination.


On May 22 last year (2008), Vitidnan took the final few steps to become the first Thai to stand on the 8,848-metre summit of the world's highest mountain.
From his rucksack he took a framed picture of His Majesty the King he'd carried with him and held it aloft.
"Who is he, your father?" enquired a foreign member of his team.
An exhausted Vitidnan felt tears well in his eyes, and then smiled broadly: "He is not only my father, but the father of 60 million Thais."
His companions looked on in silence as he shouted across the Himalayas, "The King of Thailand! He is the King of Thailand!" Then they broke into applause.
Repeated cries of "Long live the King, long live the King!" echoed among the peaks as Vitidnan unfurled the Thai flag presented him by Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn and held it out into the wind.
"It was a once-in-a-lifetime experience," says Vitidnan, a 41-year-old freelance TV producer in Bangkok.
"You have to risk your life for this big a challenge. You need a strong sense of self-awareness to confront any danger."
Before attempting an ascent of Everest, most mountaineers practise on six other peaks, but Vitidnan just couldn't afford it.
"Climbing those six summits would cost about Bt4 million, and I couldn't handle the expense, but I worked on a TV reality show in Vietnam, and they gave me the chance to do some serious climbing.
"I'm not a professional mountaineer, of course. I just really wanted to achieve a very difficult goal for the pride of the Thai people and to celebrate His Majesty's 60th anniversary on the throne.
"Standing atop Mount Everest, I felt as if I could fly," Vitidnan says. "It was such a delight, not only in the spectacular beauty of the landscape, but also in discovering the magical power hidden inside each and every one of us.
"It's said that if you can reach the top of Everest, you can go beyond any human limitation.
"On the top of the roof of the world, I wanted to shout for joy - that even a Thai can accomplish such a daunting task. It was tough and risky, but it can be done if you're determined."
It was vindication indeed for Vitidnan, who'd spent almost two years trying in vain to interest sponsors.
"No one paid any attention to my honest intentions. Some said I'd better try something else that wasn't so risky.
"But I never gave up. My determination faltered and my hopes began to fade, but my dream was revived thanks to the support I found in Vietnam.
"I ran a TV reality show there and the producers agreed in return to help me with the financing and support staff for the Everest ascent."
In the open challenge they mounted, Vitidnan says, 5,000 Vietnamese applied for a crack at the biggest peak in the world. Twenty were chosen to climb Mount Kinabalu in Malaysia, and from these, six finalists earned the chance to scale Mount Kilamanjaro in Kenya.
Everest loomed ever larger.
"Ahead of facing the biggest challenge in my life, I had to prepare physically and mentally," Vitidnan says.
"Every day I underwent weight training, ran 12 kilometres and carried a gallon of water on my back while running for two hours up and down a 40-storey building."
Every year at the Kathmandu City Hall, the Nepalese government presents gold medals to those who reach the top of Everest - the Everest Summiteers.
Vitidnan will be there on May 29, and all of Thailand will be there with him in spirit.


วันเสาร์, มีนาคม 02, 2556

พื้นที่ชีวิต ตอน ชีวิต ความหวัง ความตายในค่ายเอาชวิตช์

เป็นรายการสารคดีที่ดีมาก ขอแนะนำให้ติดตามชมทางช่องไทยพีบีเอส ทุกวันพุธ เวลาสี่ถึงห้าทุ่มเมืองไทยนะคะ ส่วนคนไทยในต่างแดนอย่างเราคงต้องติดตามดูย้อนหลังทางยูทูบต่อไป

ตอนที่นำมาเสนอมีชื่อว่า ชีวิต ความหวัง ความตายในค่ายเอาชวิตช์ ออกอากาศตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ตอนนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่กักขังสองแห่งในประเทศโปแลนด์ ที่ทหารนาซีจับตัวชาวยิวมากักขังและสังหารหมู่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
พิธีกรคือคุณ นิ้วกลม พาไปดูค่ายกักกันสถานที่จริงที่แม้จะเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ยังมีหลักฐานแสดงความโหดร้าย และยังมีร่องรอยของโศกนาฏกรรมของการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อมนุษยชาติ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก

สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์อย่างเรา รายการนี้ให้ความรู้มากมาย และยังถามคำถามลึกลงไปอีกถึงผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อลูกหลานของทั้งฝ่ายนาซีและชาวยิว รวมถึงการเยียวยาแผลในใจ 

ขอบคุณสำหรับรายการดีๆแบบนี้ ชอบมากมายค่ะ