วันอังคาร, พฤษภาคม 31, 2554

สำนวน : ผีห่าซาตาน - ghost/satan/devil

          ผี เป็นความเชื่อของชนทุกชาติ ไทยเองก็มีผีอยู่มาก และทำอะไรต่อมิอะไรได้พิลึกกว่าผีฝรั่ง
        
          บางคนบอกว่าผีเป็นภาษามคธ มาจากคำว่า ภีตะ แปลว่า เงา บ้างก็อ้างว่ามาจากคำว่าผี แปลว่า พอง แต่ไม่ว่าจะอ้างอะไร ผีก็คือผี และคำว่าผีเป็นภาษาไทย

          ฝรั่งเรียกผีว่า ghost เคยมีคนไทยเป็นนักประพันธ์คนหนึ่งชื่อ สมเถา สุจริตกุล แต่งเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ใช้ผีไทยในท้องเรื่องซึ่งทำให้เกรียวกราวไปทั่วโลก

          สมัยยุคกลางของภาษาอังกฤษ ghost เดิมอ่านว่า กาสท ต่อมาในยุคหลังจึงอ่านว่า โกสท ความหมายเดิมแปลว่า จิตวิญญาณที่ถือว่าเป็นที่อยู่ของชีวิตหรือกฎเกณฑ์แห่งชีวิต สมัยก่อนคำศัพท์ทำนองนี้มีอยู่มากแต่ที่เหลือตกค้างก็มีสำนวน give up the ghost แปลว่า ตาย บางทีก็ใช้ในแง่ตลก เช่น

          The car seems to have given up the ghost. = รถคันนี้ตายซากทำงานไม่ไหวแล้ว

          บางทีก็ใช้อธิบายถึงโอกาสที่เหลืออยู่น้อยเต็มที เช่น

          Wisa hasn't a ghost of chance. = วิสาแทบไม่มีโอกาสเลย

          บางคนที่ผอมเกร็งเหลือแต่เงาก็บอกว่า a ghost of himself/herself ส่วนคำที่ไม่เคยนำมาใช้ในภาษามาก่อน แต่ได้รับการบัญญัติในพจนานุกรมโดยความเข้าใจผิดเช่น พิมพ์ผิด ฝรั่งเรียกว่า a ghost word

          ฝรั่งคล้ายไทยตรงที่มีพิธีไล่ผี ไทยมักหาหมอผีและสมภารวัดมาขับไล่ บางทีหมอผีก็เฆี่ยนตีทำให้ผีหนีไป ฝรั่งพูดว่า lay a ghost เช่น

          The ghost has been laid and will not return to haunt you. = ผีมันถูกขับออกไปแล้ว ไม่กลับมาหลอนคุณอีก

           ผีที่ผู้เขียนชอบที่สุดเห็นจะเป็นผีปอบ ฝรั่งเรียกว่า ghoul (gl ออกเสียงเป็น กูล์) ผีชนิดนี้ชอบสิงในร่างมนุษย์ และกินอาหารที่คนกินเข้าไป ในที่สุดก็กินตับไตไส้พุงจนผู้นั้นตาย ฝรั่งเล่าว่าชอบขโมยซากศพและกินศพ ใครก็ตามที่ชอบความตาย อุปัทวเหตุ และของเลวร้ายก็เรียกว่า ghoul เช่น

           The ghouls will come and stare at road accident. = ไอ้พวกผีปอบนี้มันจะมาอีก แล้วจ้องดูอุบัติเหตุรถยนต์
           
           Wisa seems to have ghoulish countenance. = วิสาหน้าตาท่าทางเหมือนผีปอบ

           เชกสเปียร์เองก็เคยพูดถึง ghost ไว้ในงานชื่อ แฮมเลต ว่า :

           " There needs no ghost, my lord come from the grave, 
           To tell us this."

           " ท่านขอรับไม่จะเป็นต้องมีผีห่าซาตานมาจากหลุมศพเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังดอก "

           ฝรั่งเองก็มีสำนวน Holy Ghost ใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 แปลว่า พระจิต คำนี้แปลมาจากภาษาฮีบรู แปลว่า การกระทำของพระผู้เป็นเจ้าต่อมนุษย์และธรรมชาติ

           คำว่า satan แปลว่าคู่อริ หรือศัตรู ปัจจุบันหมายถึง ซาตาน หรือหัวหน้าผี ภาษากรีกเรียกว่า diablos หรือทุกวันนี้ภาษาอังกฤษพูดว่า diabolical แปลว่า เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ ทุกวันนี้ยังมีผู้นับถือซาตาน เวลาเรียกล้อซาตานก็บอกว่า His Satanic Majesty = ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทขององค์ซาตาน แม้แต่อะไรก็ตามที่ชั่วร้าย ผู้คนก็พูดว่า satanic

           ส่วน devil นั้นถ้าเป็นตัวอักษรใหญ่คือ Devil ก็หมายถึง หัวหน้าซาตาน เช่น

           Wisa believes in devils and witches. = วิสามันเชื่อภูตผีปีศาจ

           Satan tempted Adam and Eve. = ซาตานยั่วอาดัมและอีฟ

           devil นี้บางทีก็ใช้แปลว่า จีบ หรือ เกี้ยว เช่น

           Praderm is a devil with ladies. = ประเดิมนี้จีบผู้หญิงเก่งเป็นบ้า

           devil ยังมีความหมายว่า ทาพริกไทยทอด เช่น devilled ham แปลว่า แฮมทาพริกไทยทอด บางทีก็ใส่ผงกระหรี่และมัสตาร์ด

           เรื่องของภูตผีปีศาจนี้เป็นเรื่องพูดยาก นักประพันธ์ระดับโลกชื่อ ซัมมวล บัตเลอร์ กล่าวไว้เป็นคติว่า
          
           "  An apology for the Devil : It must be remembered that we have only heard one side of case. God has written all the books."

           " ต้องขอสมาลาโทษปีศาจด้วย พึงจำไว้ว่าเราได้ฟังความข้างเดียวมาโดยตลอด เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทรงนิพนธ์หนังสือต่างๆทั้งหมดให้เราอ่าน "

ขอบคุณที่มา จากหนังสือ "สนุกภาษาฝรั่งกับประเดิม" เขียนโดย คุณนพพร สุวรรณพานิช พิมพ์ปีพ.ศ. 2541

♫ One of my favourite ♥ songs




            Us Against The World เป็นเพลงแรกๆที่หนุ่มฟินน์ว่าที่สามีมอบให้ อาจถือเป็นการบอกรักครั้งแรก เป็นหนึ่งในความทรงจำที่หวานซึ้งเลยล่ะ ..... It was one of the very first songs given to me by my Finnish husband-to-be that might be his first expression of love. It really brings back our sweet memories. ^^

วันจันทร์, พฤษภาคม 30, 2554

สำนวน : กร่าง - put on air of importance

           กร่าง เป็นคำศัพท์แปลกประหลาด เมื่อลองค้นดูอักขราภิธานศัพท์ รวบรวมโดย หมอปลัดเล และอาจารย์ทัด ผู้คัดแปล ก็เห็นอธิบายไว้สั้นๆว่า "ต้นไม้อย่างหนึ่ง ใบเท่าฝ่ามือ ผลคล้ายมะเดื่อ กินไม่ได้ "

           เคยทราบว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท เคยตั้งชื่อ สมภารกร่าง ในนวนิยายที่คัดลอกปรุงแต่งใหม่จาก ดอนคามิลโย ของฝรั่ง

           ความจริง กร่าง เป็นอาการแสดงออกซึ่งอำนาจแต่อาจไร้อำนาจก็ได้ จึงคล้ายกับการทำท่าใหญ่โต ภาษาอังกฤษที่เห็นว่าใกล้เคียงน่าจะเป็นสำนวน put on air of importance
เช่น
           This chap has an air of importance (about him) หรือ this broke always puts on air of importance. = ไอ้หมอนี่วางท่ากร่างอยู่เรื่อย

           ส่วนสำนวน with one's nose in the air หรือแปลตรงตัวว่า มีจมูกอยู่ในอากาศ เป็นสำนวนที่ส่อความจองหองในตัว
เช่น

           Wisa walked past us with his nose in the air. = คุณวิสาเดินผ่านพวกเราไปทำท่ากร่างพิลึก

           คำว่า กร่าง อาจใช้ในความหมายอื่นที่กระเดียดไปในเชิงจองหอง บางทีพูดกันว่า วางมาดกร่าง บางครั้งเมื่อพูดจาแสดงความเขื่อง ผู้คนอาจนำไปพูดกันต่อว่าพูดจากร่างๆ

           ปกติคนนิสัยกร่างพอถอดได้ว่า an overbearing person คำว่า overbearing บ่งถึงนิสัยที่ชอบยกตนข่มท่าน

           กร่าง เป็นศัพท์แสลงในภาษาไทย หากเทียบกับแสลงภาษาอังกฤษด้วยกัน จะตรงกับคำว่า cocky หรือ all over yourself หากต้องการบอกให้หยุดกร่าง น่าจะใช้  Come down off your high horse. = เธอนี่น่าจะหยุดกร่างเสียที

           บางคนอาจใช้คำว่า  highfalutin ก็แปลว่า กร่าง ได้เช่นกัน เช่น highfalutin idea = ความคิดกร่างๆ, highfalutin language = ภาษากร่างๆ

           ศัพท์อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน คือ คำว่า hoity-toity แปลว่า กร่าง เช่น

           I suppose that the fella is quite hoity-toity. = ผมว่าไอ้เวรนี่มันกร่างมาก

           กร่างนั้นยั่วให้คิดถึงหนังสือชื่อ กุลิสถาน แต่งโดย สาดี ที่กล่าวคำคมที่เห็นภาพความกร่างได้ชัดเจนว่า :-

           "Every person thinks his own intellect perfect, and his own child handsome."
           "ใครต่อใครคิดว่าตนมีปัญญาเยี่ยมยอด และลูกของตนนั้นหล่อเหลา"




ขอบคุณที่มาจากหนังสือ "สนุกภาษาฝรั่งกับประเดิม" เขียนโดย คุณนพพร สุวรรณพานิช พิมพ์ปีพ.ศ. 2541

สำนวน : เพี้ยน - somewhat off the mark

เพี้ยน ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายใว้ว่า ผิดแปลกไปเล็กน้อย, คลาดเคลื่อน, ผิดเพี้ยน นอกจากนี้ยังอธิบายอีกว่าเพี้ยนผัด แปลว่า ขอเลื่อนเวลาให้ผิดไป หรือผัดเพี้ยน

เพี้ยน ยังเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า หมายถึง อาการเพี้ยนซึ่งคล้ายกับโรคประสาทอ่อน แม้ความหมายนี้ไม่ปรากฎในพจนานุกรม ในแง่นี้ภาษาอังกฤษใช้ somewhat off the mark 

         somewhat แปลว่า ค่อนข้าง
         mark หมายถึงเครื่องหมาย หรือข้อกำหนดเดิม
         off the mark ในที่นี้แปลว่า ผิดไปจากเดิม หรือผิดไปจากลักษณะสำคัญ หรือทำในสิ่งที่ไม่พึงทำ
เช่น 
         It seems that Wisa is off the mark. He harps on saying that he'll climb the Golden Mount five times a day. = วิสาเพี้ยนไปจากเดิมมาก เขาบ่นเสมอว่าจะปีนภูเขาทองวันละห้าครั้ง

เพี้ยน นี้ยังแปลว่าดัดแปลงได้ด้วย เช่น คำว่า สะพาน เพี้ยนมาจาก ตะพาน หรือคำ กะเตอะ ในภาษาเปอร์เซีย เพี้ยนเป็น กระดาษ ในภาษาไทย เป็นต้น แบบนี้ใช้คำว่า corrupt เป็นคำคุณศัพท์ (adjective)
เช่น
         This is a very corrupt manuscript. = ต้นฉบับนี้เขียนเพี้ยนๆ

อีกคำหนึ่งที่น่าใช้คือ derive (adjective) หรือ derivation (noun)แปลว่า ดัดแปลงหรือเพี้ยนมาจากหรือมีประวัติคำจากที่อื่น
เช่น
         Prof. Wisa explained the derivations of words from Pali. = อาจารย์วิสาอธิบายคำศัพท์ที่เพี้ยนจากภาษาบาลี
         
         Thousands of Thai words derive from Sanskrit. = คำไทยหลายคำเพี้ยนมาจากภาษาสันสกฤต

เพี้ยน อาจหมายถึง อารมณ์ที่แผกออกไปบ้าง ฝรั่งใช้สำนวนว่า off the rockers

เช่น 
         After a few glasses of gin Wisa seemed to be off the rockers. = วิสาดื่มยินไปสองสามแก้วก็ชักเพี้ยนๆแล้ว

คำว่าผิดเพี้ยน แปลว่าผิดไปจากเป้าเดิมหรือผิดแปลกไปเล็กน้อย บางทีหมายถึง คลาดเคลื่อน
เช่น
         Wisa's piano is slightly out of tune. = เปีอโนของวิสาเสียงเพี้ยนไปหน่อย

         I think your pronunciation tends towards that of the Northeasterners. = ผมว่าคุณพูดสำเนียงเพี้ยนไปทางอีสาน

         Your writing departs from the thruth. = ข้อเขียนของคุณเพี้ยนไปจากความจริง

นอกจากนี้ยังมีคำว่า schizoid* attitude to แปลว่า ความรู้สึกเพี้ยนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเริ่มขาดเหตุผล
เช่น
         Wisa seems to have a schizoid attitude when I told him that he is a cockhold. = วิสาเพี้ยนไปมากเมื่อผมบอกเขาว่าเมียมีชู้ 

*schizoid (sktsoid) ออกเสียงเป็น สคิทซอยด์

ขอบคุณที่มาจากหนังสือ "สนุกภาษาฝรั่งกับประเดิม" เขียนโดย คุณนพพร สุวรรณพานิช พิมพ์ปีพ.ศ. 2541


สำนวน Phone in / pick-me-up

เดี่๋ยวนี้คำว่า "โฟนอิน" phone in เป็นคำที่ฮิตติดอันดับในบ้านเรา เดี๋ยวคนโน้นโฟนอิน เดี๋ยวคนนี้โฟนอิน แรกเริ่มเดิมที ฝรั่งใช้กริยาวลี phone เพียงสองกรณี

กรณีแรกคือ โทรศัพท์เข้าไปในสถานที่ที่คุณทำงานอยู่ โทร.ไปเพื่อแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของคุณทราบ ส่วนมากใช้ประโยคสั้นๆ เช่น She phoned in sick. = หล่อนโทรศัพท์เข้ามายังสำนักงานบอกว่าป่วย อันนี้เท่ากับ She phoned in saying that she was sick.

กรณีที่สองคือ โทรศัพท์เข้าไปในรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ เพื่อแสดงความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใด อย่างในเมืองไทยบ้านเราเมื่อใดมีฝนตกหนักน้ำท่วมรับรองเลยว่าจะต้องมีคนโฟนอินเข้ามาบ่นในรายการวิทยุ There were over five hundred people phoned in to complain. = มีคนมากกว่าห้าร้อยคนโทรศัพท์เข้ามาบ่น

ตื่นขึ้นมาผู้เขียนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวดูเหมือนว่าจะเป็นไข้ จึงโทรศัพท์ไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาว่าคนดัตช์ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวแบบนี้ อาจารย์ตอบว่า In the Netherlands we usually drink brandy with tea as a morning pick-me-up.

Pick-me-up คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นเครื่องดื่มประเภทเหล้ายาปลาปิ้ง หรือเครื่องดื่มชูกำลัง อย่างข้างบนนั่นคือในเนเธอร์แลนด์เรามักจะดื่มเครื่องดื่มที่ทำจากองุ่นกับน้ำชา เพื่อทำให้เรารู้สึกกระเตื้องขึ้นในตอนเช้า

ที่มา : คอลัมน์เปิดฟ้าภาษาโลก ไทยรัฐออนไลน์ โดย คุณนิติ นวรัตน์
วันที่ : 25 พฤษภาคม 2554
http://www.thairath.co.th/column/edu/openlang/173785

ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อย้ายมายังประเทศฟินแลนด์ภายหลังการแต่งงาน



























ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก สถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์


เล่าเรื่องจากผู้มีประสบการณ์: กรมแรงงานและรายได้ช่วงเรียน 
(โดยพี่ตูน 07.12.09)วันนี้ไปเตื้อมา ขอมารายงานนิดหนึ่งค่ะ ไปถึงล่ามก็มารอ (แบบว่าเปิดประตูรอเราเลย ดีที่ยังไปถึงก่อนเวลาห้านาที ไม่งั้นจะรู้สึกผิดมากๆๆ) ไปถึงก็ไปเดินวนรอบตึกเล่น เพราะเค้าปิดตึกต่อเติม วนหาที่เข้าตั้งนาน กว่าจะเจอ หุหุ
กลับมาเข้า เรื่อง ล่ามเป็นพี่คนไทยที่อยู่มายี่สิบปีได้เเระ ก็คุยไปจนท เตื้อ ก็บอกถึงสิทธิที่เราจะได้รับ เเละเเนะนำเรื่องเทียบวุฒิการศึกษาเเล้วก็ติดต่อนัดหมายให้คนที่สามารถคุยกับเราให้เสร็จ ก็กลับมาคุยเรื่องเรียน จนท บอกว่า ถ้าที่เรียนที่เตื้อหาให้ ตอนนี้คนเต็มต้องรอคิวยาว สองเดือนถึงหนึ่งปี เเล้วแกก็หาที่อื่นที่เสียตังค์(แต่ไม่มาก ยี่สิบยู ต่อปีให้ ปริ้นท์รายละเอียดให้ด้วย) เเต่ที่ดังกล่าวเราจะไม่ได้ตังค์ เเล้วก็บอกว่าเราไปเรียนรอจะดีกว่า พอเราถามเรื่องฝึกงานเเกก็อธิบายให้เเล้วบอกว่าอยากฝึกงานหรือ ถ้าอยากฝึกก็มีนะงานที่ไม่ต้องใช้ภาษาเเต่ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ ต่อเรา คืออาจจะได้งานทำกันว่างเฉยๆ เเล้วก็เเนะนำเช่น มีร้านอาหารไทยเเถวบ้าน ถ้าเกิดเราอยากทำงานเสิร์ฟก็ให้ไปถามเจ้าของเเล้วถ้าเค้ารับก็ใ ห้ไปเอาใบฝึกงานไปให้เจ้าของร้านเซ็น เราก็จะได้เงินจากเตื้อ 25.63+8 ยูโรต่อวัน เเต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เรามีสิทธิขอเงินว่างงานจากเตื้อคือ 25.63 ยูโรต่อวัน(อันนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ของสามี ถ้าสามีมีรายได้มากเราจะไม่ได้ ซึ่งพี่ที่เป็นล่ามบอกว่าส่วนใหญ่ถ้าสามีมีงานไม่ค่อยจะได้หรอก เเต่ถ้าเป็นนักเรียน หรือว่างงานอยู่ก็จะได้) เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องส่งใบสมัครเพื่อรับเงินส่วนนั้นเพรา ะมันจะมีผลต่อเงินที่จะได้เมื่อเราได้ที่เรียนจากเตื้อ (คือถ้าไม่ขอภายในสามเดือนถือว่าสละสิทธิ เเล้วถ้าไม่ได้ส่งใบสมัครเมื่อเราได้ที่เรียนจากเตื้อเราก็จะไม่ได้เงิน 25.63+8 ยูโรต่อวัน หุหุ) อ้อในกรณีที่เราได้ที่เรียนที่เตื้อจัดหาให้นั้นเค้าจะให้เงิน
25.63+8 ยูโรต่อวัน ทุกคนที่ส่งใบสมัครกับเตื้อไม่ขึ้นกับรายได้สามีทั้งสิ้น(งงหรือเปล่า เเต่คงไม่เพราะสาวๆส่วนใหญ่ผ่านมาเเล้น อิอิ) หลัง จากที่ จนท อธิบายเเล้วเค้าก็ถามว่า มีอะไรให้ถามได้เเต่พี่ล่ามบอกว่า...พี่หมดเวลา เพราะต้องไปล่ามให้คนที่ศาลอีกที่ (จริงๆระหว่างคุยกันก็ถามซะละเอียดไว้เยอะเลย หุหุ) เลยไม่มีคำถามต่อเเล้วก็ออกมา

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 29, 2554

Ajattelen sinua... Thinking of you ♥

แต่งงานแล้วย้ายไปใช้ชีวิตในต่างแดน


ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงานเอาเมื่อวัยล่วงเข้าสามสิบปี แถมสามีก็หนุ่มกว่าเราตั้งเจ็ดปี พอแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายไปใช้ชีวิตในต่างแดน เรียกว่ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ถอดด้ามเอาตอนรุ่นสาวปลายๆเลยก็ว่าได้

ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็มีมากมาย เริ่มตั้งแต่เรียนภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ รวมถึงเรียนรู้ระเบียบสังคมใหม่อีกด้วย อาชีพน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงเลย ยังไงก็ต้องเริ่มใหม่เพราะที่ร่ำเรียนมาจนจบเอกภาษาเนี่ย จะไม่ได้ใช้พูดที่บ้านเมืองเค้าเลย (รู้งี้ตรูเลือกเรียนสายอาชีพไปนานแระ ยังจะเอาไปใช้ประกอบวิชาชีพต่างบ้านต่างเมืองได้ดีกว่า) งานก็ไม่รู้จะหาได้มั๊ย เพราะแม้แต่คนประเทศเค้ายังตกงานกันมาก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือถ้าได้งานแล้วรัฐจะเก็บภาษีจากผู้มีรายได้ค่อนข้างสูงเพราะถือว่านำเงินภาษีส่วนนี้มาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่วนค่าเงินนั้นถึงแม้จะมากกว่าเงินบาทของบ้านเรา แต่ข้าวของแพงกว่าเห็นๆ ถ้าอยากมีเงินเก็บก็ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นเข้าไว้ (ข้อนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่รู้จะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ คงต้องดูกันต่อไป) การเดินทางก็ต้องเริ่มหัดใช้บริการขนส่งมวลชนของบ้านเมืองเค้า เช่นรถไฟฟ้า รถราง รถเมล์ รวมทั้งขนส่งส่วนตัวอย่างจักรยาน และเดินเท้า คงยังขับรถยนต์ไม่ได้ตราบใดที่ไม่มีใบขับขี่ ซึ่งได้ข่าวว่าแบบทดสอบนั้นหินมาก กว่าจะสอบผ่านลูกคงโตเป็นหนุ่มไปซะแล้ว ส่วนมอเตอร์ไซด์ที่บ้านเค้าแทบจะไม่มีให้เห็น มีบ้างประปรายที่ขี่มอเตอร์ไซด์คันใหญ่อย่าง CBR หรือ HD (โชคดีที่ไม่มีเด็กแว้นตีนผีให้เจอกลางดึกเหมือนบ้านเรา) อาหารนี่เมื่อเทียบกับบ้านเราก็จืดสนิทเลย จากประสบการณ์การเดินทางช่วงสั้นๆในปีที่ผ่านมา ไปเที่ยวแค่เดือนเดียวแต่คิดถึงอาหารไทยจนใจจะขาด ส่วนอากาศก็คงไม่ต้องสาธยายเพราะปีหนึ่งมีตั้งสี่ฤดูแถมหนาวมหาโหด (ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิต่ำสุดช่วงหน้าหนาวติดลบสามสิบองศา โอ้ว แม่เจ้า!!!) แค่นี้ก็พอที่จะทำให้เราขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านดีอยู่บ้าง เช่น ประเทศนี้ให้โอกาสทางการศึกษาที่เปิดกว้างในแบบที่ใครอยากเรียนอะไรก็ได้เรียน อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ แถมรัฐบาลจุนเจือค่าเล่าเรียนอีกต่างหาก ทั้งจัดระบบการให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ คนตกงาน หรือคนที่มีปัญหาการชำระบิลค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินต่างๆก็มีพร้อม รัฐตั้งหลายหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆทั้งประกันสังคม (KELA หรือ Social Insurance Institution) สำนักงานแรงงาน (Työvoimatoimisto) สำนักทะเบียนท้องถิ่น (Maistraatti) เป็นต้น แถมให้เงินเลี้ยงดูบุตรแก่ทุกครอบครัวอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ รัฐยังมอบสวัสดิการดูแลรักษาฟันฟรีแก่เด็กๆจนถึงอายุสิบห้าปีอีกด้วย นอกจากประชาชนจะได้รับการดูแลจากรัฐบาลแล้ว ประเทศนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ทั้งอากาศที่สดชื่น น้ำที่ใสสะอาดและได้ชื่อว่าบริสุทธิ์จนน่าเสียดายถ้านำไปรดน้ำต้นไม้ ดังนั้นเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพนี้มีอย่างล้นเหลือ แล้วในช่วงหน้าร้อนยังอุดมไปด้วยเบอร์รี่นานาชนิดอย่างที่นับกันไม่ไหวเลยทีเดียว นอกจากนี้จำนวนประชากรยังมีขนาดพอดี ไม่แออัดจนเกินไป รถราก็ไม่มากเพราะคนส่วนใหญ่ใช้บริการข่นส่งมวลชน ความปลอดภัยก็สูงจึงแทบไม่มีข่าวโจรกรรมฆาตกรรมให้เห็น อ้อ พอดีนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านพบข่าวขำๆในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งว่ามีการเสนอข่าวแกะหาย หรือแม้กระทั่งการฉลองชัยชนะจากการประกวดสุนัขพันธุ์สวยงามก็มี สงสัยว่าคนที่นี่ชินกับความสงบสุขกันจนต้องเสาะหาข่าวตื่นเต้นมาเล่าสู่กันฟังอย่างงั้นเลยนะ พอพูดถึงสุนัข อยากเสริมอีกว่าไม่ว่าจะประเทศนี้หรือประเทศไหนในยุโรปความสำนึกรับผิดชอบสัตว์เลี้ยงนั้นมีมาก เพราะบางประเทศออกกฎหมายคุมเข้มให้ความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง หากผู้เลี้ยงฝ่าฝืน อาจโดนจับ ปรับ หรือขังได้ ดังนั้นจะนำสัตว์มาเลี้ยงเล่นๆแล้วทิ้งขว้างเหมือนบ้านเราไม่ได้ นี่คือข้อหนึ่งที่ประเทศเราควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง หากมีส.ส.คนไหนเสนอมตินี้ เราอาจพิจารณาเลือกเขาเป็นรัฐมนตรีก็ได้

จากที่ได้เกริ่นไปพอสมควรแล้ว คงเห็นแล้วว่ามาตรฐานชีวิตของประชากรบ้านเค้าค่อนข้างดี รัฐจัดสวัสดิการมากมายมารองรับ จึงทำให้คนบ้านเค้าไม่ต้องห่วงมากนักกับเรื่องการทำมาหากิน คือถ้าไม่หวังรวยหรือไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ไม่ถึงกับอดตาย ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตครั้งนี้น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า และหวังว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ^^

วันเสาร์, พฤษภาคม 28, 2554

Cat mom hugs baby kitten ♥ ... so cute !!!

As a cat lover and a mom, I couldn't help smiling when watching this video. The way mummy cat opens her arms and hugs her baby closer is just adorable. I do believe that all living creature possess soul. That's why they know how to love =)

ในฐานะที่เป็นคนรักแมวและเป็นแม่คน เมื่อได้ดูคลิปนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ ภาพที่แม่แมวเอื้อมแขนมาโอบลูกแมวน้อยพร้อมดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดแม่ช่างน่ารักน่าชังมากมาย เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าสิ่งมีชิวิตทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณจึงสามารถเรียนรู้คำว่ารัก และมอบความรักให้กันได้ ...

วันเสาร์, พฤษภาคม 14, 2554

Photos: "Take a bite --- You'll like it"

ขอรวมภาพของอร่อยทั้งอาหารที่ปรุงเอง มื้ออาหารที่ทานนอกบ้าน รวมทั้งขนมและผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่ายจากซุปเปอร์ฯในฟินแลนด์และเจอในตู้เย็นของทุกครัวเรือน ในวิดีโออัลบั้มภาพ '' Take a bite --- you'll like it'' จากการเดินทางมาเที่ยวฟินแลนด์ทั้งสองทริปในปี 2009 และ 2010 ค่ะ


วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 12, 2554

Photos: Chillin' Days in Finland ^0^

เก็บตกกิจกรรมเล็กๆน้อยๆต่างๆจากทริปที่สองในฟินแลนด์ ทั้งการทำความสะอาดที่พัก นั่งเล่นชิลๆกับสัตว์เลี้ยง เดินเล่นช้อปปิ้ง เที่ยวเล่นชมพลุในเมืองหลวงกับกลุ่มเพื่อนสนิทก่อนลาจากกลับเมืองไทย และสัญญาว่าจะกลับมาอีกครั้งอย่างเต็มภาคภูมิ ลาก่อนฟินแลนด์ที่รัก ^0^

วันอังคาร, พฤษภาคม 10, 2554

Photos: My Happy Return to Finland ^^ (Part 2)

Welcome to Iisalmi... เที่ยวเล่นลั้นลาที่อีซาลมิ =)

หลังจากเยี่ยมคุณตาที่สุสานแล้วพวกเราจึงมาเดินเล่นที่ ทะเลสาบอีกแห่งของเมือง บรรยากาศดีมาก เป็นที่ตั้งของท่าเรือขนาดเล็กและโรงเบียร์อันเก่าแก่ วันต่อมาคุณป้าจึงพาพวกเรากลับมาทานกลางวันกันที่นี่ ร้านอาหารมีอายุหลายร้อยปีแล้ว อาหารรสชาติดีจนมิกเกะชมเปาะว่าเป็นอาหารฟินแลนด์ที่อร่อยที่สุด แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบของหวานที่เป็นพายบลูเบอร์รี่เสริฟพร้อมไอศครีมวานิลา โรยน้ำตาลไอซิ่ง อร่อยเหาะ ! (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมื้อนี้มาฝาก) 


พอกลับมาจากเที่ยวเมืองอีซาลมิแล้ว พวกเราก็หาสถานที่เที่ยวใกล้เมืองยาร์เวนป้าที่เราพักอยู่ และเหตุเพราะนึกสงสัยว่าคนไทยที่มาอยู่ฟินแลนด์ก็มีจำนวนไม่น้อย จึงน่าจะมีสมาคมหรือศูนย์กลางคนไทยในฟินแลนด์อยู่สักแห่ง จึงลองหาจากอินเตอร์เน็ต พบเว็บไซต์ของวัดไทยแห่งแรกและแห่งเดียว(ที่สร้างเสร็จแล้ว) คือวัดพุทธาราม แม้เป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย แต่พวกเราก็ดั้นด้นเดินทางไปถึงจนได้ ขอบคุณGPSของคุณแม่ปรียา รู้สึกดีใจมากที่หาเจอ เยี่ยมเยียนไหว้พระเสร็จก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ

พอถึงวันพฤหัสบดีที่สามของเดือนสิงหาคม จะมีการจัดงานเทศกาลกระเทียมขึ้นที่เมืองเกราว่า ฟินแลนด์ และในปีนี้งานมีขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคมทีผ่านมา แน่นอนอยู่แล้วงานนี้ต้องมีกระเทียมสดๆขาย และอาหารอื่นๆที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ และที่พิเศษไปกว่านี้ยังมี มัสตารด์รสกระเทียม น้ำผึ้งผสมกระเทียม ไอศครีมกระเทียม และเบียร์รสกระเทียมอีกด้วย เชื่อไหมล่ะ !!!

วันจันทร์, พฤษภาคม 09, 2554

Photos: My Happy Return to Finland ^^ (Part 1)

ฟินแลนด์จ๋า...เค้ากลับมาแล้วนะ Terve Suomi...Here I come again !!!

เริ่มต้นบินจากเชียงใหม่วันที่ 29 ก.ค. 2011แล้วบินไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ จากนั้นบินจากกัวลาลัมเปอร์ไปต่อเครื่องที่แฟรงค์เฟิร์ตและบินต่อไปยัง เฮลซิงกิ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเดินทางขาไป 23.35 ชั่วโมง(หมดเวลาไปหนึ่งวันเลย) และขากลับวันที่ 31 ส.ค. บินทั้งหมด 20.10 ชั่วโมง
หนนี้ไปเที่ยวตั้งเดือนมีรูปถ่ายมากขึ้น จัดทำได้หลายอัลบั้มเลย โปรดติดตามต่อไปค่าาา



วันเสาร์, พฤษภาคม 07, 2554

Photos: My 1st Finland Trip in 2009 ^^

ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนในชีวิตและไม่เคยสนใจประเทศฟินแลนด์มาก่อน จนกระทั่งตกหลุมรักหนุ่มฟินน์หน้าใสและได้รับเชิญให้ไปเที่ยวบ้านเค้า... Neither had I been abroad nor interested in Finland before in my life until I fell in love with a cute Finn boy and was invited to his hometown. Here are the pictures from my first trip to Finland. ^^