เริ่มจากครูประจำชั้นแจงความประพฤติของไทเลอร์ที่โรงเรียนทั้งด้านดีและไม่ดี ความก้าวหน้าเรื่องการปรับตัวของไทเลอร์ และก็ทักษะต่างๆของเค้า ปรากฏว่าลูกชายมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะและกีฬา หัวไวมาก เพราะสอนแป๊บเดียวเค้าก็ทำได้เลย นอกจากนี้เค้ายังสามารถบวกลบเลข นับเลข บอกเวลา และอ่านออกเสียงได้แล้ว สรุปว่าครูลงความเห็นว่าเค้ามีความรู้ความสามารถที่จะเข้าชั้นเรียนประถม 1 (Grade1)ได้เหมือนเด็กฟินน์ปกติ แต่เนื่องจากยังไม่มีทักษะการสื่อสารภาษาฟินนิชมากพอที่จะเข้าชั้นเรียนปกติ ดังนั้นเจ้าหน้าที่การศึกษาฯจึงจัดชั้นเรียนพิเศษสำหรับเด็กต่างชาติแบบไทเลอร์ที่ต้องเน้นเรียนภาษาควบคู่กับวิชาอื่นๆ ถ้ารู้ภาษามากพอก็จะได้ย้ายไปเรียนร่วมกับเด็กฟินน์ทั่วไป เค้าจะเริ่มไปโรงเรียนประถมเดือนกันยายนปีนี้แหละ แถมขอรถรับ-ส่งโรงเรียนได้ด้วยเพราะลูกยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่และกลัวจะได้รับอันตรายถ้าเดินไปโรงเรียนเอง พอได้ยินอย่างนี้แล้วคงเดาออกนะว่าคนเป็นแม่ที่เคยกังวลว่าลูกจะเรียนช้ากว่าเด็กที่นี่เป็นปีๆจะดีใจมากขนาดไหน ^^
ก่อนจบการประชุมเจ้าหน้าที่ศึกษาฯแนะนำว่า ในกรณีเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ใช้สองภาษาแบบไทเลอร์นี้ พ่อและแม่ควรแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจนในการสื่อสารกับลูก เช่น พ่อควรพูดกับไทเลอร์เป็นภาษาฟินนิชเท่านั้น และแม่เองก็ควรพูดกับลูกเป็นภาษาไทยเท่านั้น เพราะจะช่วยให้ไทเลอร์ได้พัฒนาความสามารถทั้งสองภาษาได้โดยไม่สับสน ซึ่งเราเองก็เห็นด้วยนะ เพราะทั้งสองภาษาสำคัญกับชีวิตเค้ามากพอๆกัน ส่วนภาษาอังกฤษนั้นเดี๋ยวครูก็สอนให้ที่โรงเรียน ยังไม่จำเป็นต้องใช้ที่บ้าน ตอนปิดเทอมหน้าร้อนเราวางแผนไว้แล้วว่าจะเริ่มสอนเขียนและสะกดภาษาไทยให้ลูก ค่อยเป็นค่อยไป ลูกจะได้ไม่ลืมภาษาไทย
เมื่อพูดถึงความเป็นไทย เวลาที่จะรับของจากผู้ใหญ่ลูกก็ยังไหว้ขอบคุณอยู่ถึงแม้จะเปลี่ยนคำว่า "ขอบคุณครับ" เป็น "กีโตส" (แปลว่าขอบคุณ/ภาษาฟินนิช) ซึ่งคนฟินน์ที่นี่เห็นแล้วชอบมากเลย บอกว่าไทเลอร์เป็นเด็กน่ารัก อืม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมารยาทไทยก็ยังแปลกตาและก็น่าประทับใจสำหรับชาวต่างชาตินะ