วันอาทิตย์, พฤษภาคม 29, 2554

แต่งงานแล้วย้ายไปใช้ชีวิตในต่างแดน


ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงานเอาเมื่อวัยล่วงเข้าสามสิบปี แถมสามีก็หนุ่มกว่าเราตั้งเจ็ดปี พอแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายไปใช้ชีวิตในต่างแดน เรียกว่ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ถอดด้ามเอาตอนรุ่นสาวปลายๆเลยก็ว่าได้

ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็มีมากมาย เริ่มตั้งแต่เรียนภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ รวมถึงเรียนรู้ระเบียบสังคมใหม่อีกด้วย อาชีพน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงเลย ยังไงก็ต้องเริ่มใหม่เพราะที่ร่ำเรียนมาจนจบเอกภาษาเนี่ย จะไม่ได้ใช้พูดที่บ้านเมืองเค้าเลย (รู้งี้ตรูเลือกเรียนสายอาชีพไปนานแระ ยังจะเอาไปใช้ประกอบวิชาชีพต่างบ้านต่างเมืองได้ดีกว่า) งานก็ไม่รู้จะหาได้มั๊ย เพราะแม้แต่คนประเทศเค้ายังตกงานกันมาก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือถ้าได้งานแล้วรัฐจะเก็บภาษีจากผู้มีรายได้ค่อนข้างสูงเพราะถือว่านำเงินภาษีส่วนนี้มาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ส่วนค่าเงินนั้นถึงแม้จะมากกว่าเงินบาทของบ้านเรา แต่ข้าวของแพงกว่าเห็นๆ ถ้าอยากมีเงินเก็บก็ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นเข้าไว้ (ข้อนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่รู้จะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ คงต้องดูกันต่อไป) การเดินทางก็ต้องเริ่มหัดใช้บริการขนส่งมวลชนของบ้านเมืองเค้า เช่นรถไฟฟ้า รถราง รถเมล์ รวมทั้งขนส่งส่วนตัวอย่างจักรยาน และเดินเท้า คงยังขับรถยนต์ไม่ได้ตราบใดที่ไม่มีใบขับขี่ ซึ่งได้ข่าวว่าแบบทดสอบนั้นหินมาก กว่าจะสอบผ่านลูกคงโตเป็นหนุ่มไปซะแล้ว ส่วนมอเตอร์ไซด์ที่บ้านเค้าแทบจะไม่มีให้เห็น มีบ้างประปรายที่ขี่มอเตอร์ไซด์คันใหญ่อย่าง CBR หรือ HD (โชคดีที่ไม่มีเด็กแว้นตีนผีให้เจอกลางดึกเหมือนบ้านเรา) อาหารนี่เมื่อเทียบกับบ้านเราก็จืดสนิทเลย จากประสบการณ์การเดินทางช่วงสั้นๆในปีที่ผ่านมา ไปเที่ยวแค่เดือนเดียวแต่คิดถึงอาหารไทยจนใจจะขาด ส่วนอากาศก็คงไม่ต้องสาธยายเพราะปีหนึ่งมีตั้งสี่ฤดูแถมหนาวมหาโหด (ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิต่ำสุดช่วงหน้าหนาวติดลบสามสิบองศา โอ้ว แม่เจ้า!!!) แค่นี้ก็พอที่จะทำให้เราขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านดีอยู่บ้าง เช่น ประเทศนี้ให้โอกาสทางการศึกษาที่เปิดกว้างในแบบที่ใครอยากเรียนอะไรก็ได้เรียน อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ แถมรัฐบาลจุนเจือค่าเล่าเรียนอีกต่างหาก ทั้งจัดระบบการให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ คนตกงาน หรือคนที่มีปัญหาการชำระบิลค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินต่างๆก็มีพร้อม รัฐตั้งหลายหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆทั้งประกันสังคม (KELA หรือ Social Insurance Institution) สำนักงานแรงงาน (Työvoimatoimisto) สำนักทะเบียนท้องถิ่น (Maistraatti) เป็นต้น แถมให้เงินเลี้ยงดูบุตรแก่ทุกครอบครัวอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ รัฐยังมอบสวัสดิการดูแลรักษาฟันฟรีแก่เด็กๆจนถึงอายุสิบห้าปีอีกด้วย นอกจากประชาชนจะได้รับการดูแลจากรัฐบาลแล้ว ประเทศนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ทั้งอากาศที่สดชื่น น้ำที่ใสสะอาดและได้ชื่อว่าบริสุทธิ์จนน่าเสียดายถ้านำไปรดน้ำต้นไม้ ดังนั้นเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพนี้มีอย่างล้นเหลือ แล้วในช่วงหน้าร้อนยังอุดมไปด้วยเบอร์รี่นานาชนิดอย่างที่นับกันไม่ไหวเลยทีเดียว นอกจากนี้จำนวนประชากรยังมีขนาดพอดี ไม่แออัดจนเกินไป รถราก็ไม่มากเพราะคนส่วนใหญ่ใช้บริการข่นส่งมวลชน ความปลอดภัยก็สูงจึงแทบไม่มีข่าวโจรกรรมฆาตกรรมให้เห็น อ้อ พอดีนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านพบข่าวขำๆในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งว่ามีการเสนอข่าวแกะหาย หรือแม้กระทั่งการฉลองชัยชนะจากการประกวดสุนัขพันธุ์สวยงามก็มี สงสัยว่าคนที่นี่ชินกับความสงบสุขกันจนต้องเสาะหาข่าวตื่นเต้นมาเล่าสู่กันฟังอย่างงั้นเลยนะ พอพูดถึงสุนัข อยากเสริมอีกว่าไม่ว่าจะประเทศนี้หรือประเทศไหนในยุโรปความสำนึกรับผิดชอบสัตว์เลี้ยงนั้นมีมาก เพราะบางประเทศออกกฎหมายคุมเข้มให้ความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง หากผู้เลี้ยงฝ่าฝืน อาจโดนจับ ปรับ หรือขังได้ ดังนั้นจะนำสัตว์มาเลี้ยงเล่นๆแล้วทิ้งขว้างเหมือนบ้านเราไม่ได้ นี่คือข้อหนึ่งที่ประเทศเราควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง หากมีส.ส.คนไหนเสนอมตินี้ เราอาจพิจารณาเลือกเขาเป็นรัฐมนตรีก็ได้

จากที่ได้เกริ่นไปพอสมควรแล้ว คงเห็นแล้วว่ามาตรฐานชีวิตของประชากรบ้านเค้าค่อนข้างดี รัฐจัดสวัสดิการมากมายมารองรับ จึงทำให้คนบ้านเค้าไม่ต้องห่วงมากนักกับเรื่องการทำมาหากิน คือถ้าไม่หวังรวยหรือไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ไม่ถึงกับอดตาย ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตครั้งนี้น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า และหวังว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น