หนึ่งอาทิตย์ต่อมาด้วยยังมีไฟจึงอ่านจบสำเร็จทั้งหนังสืออ่านนอกเวลาและบทเรียนในหนังสือเรียนที่วางเป้าเอาไว้จำนวนเจ็ดบท (อ่านและทำแบบฝึกหัดวันละหนึ่งบท) แต่พออาทิตย์ที่สองไฟก็เริ่มมอดเพราะเอานิสัยเก่ามาใช้ คือทำกิจกรรมอื่นๆมากขึ้นและเริ่มผลัดวันประกันพรุ่ง ทำให้หนี้อ่านบทเรียนพอกหางหมู จนกระทั่งวันนี้น่าจะอ่านถึงบทที่สิบเจ็ดแล้ว แต่ความจริงยังอ่านบทที่แปดไม่จบเลย อีกไม่ถึงสองอาทิตย์โรงเรียนจะเปิดแล้ว เราจะอ่านทันมั๊ยเนี่ย ไฟลนก้นแล้วสิ ตายแน่แว้ววววววช้านนนน
หนึ่งในกิจกรรมช่วงฤดูร้อนที่เราชอบคือ ตั้งโต๊ะขายของที่ถนน Janne ในเมืองตอนบ่ายวันพุธและเช้าวันเสาร์ ของที่นำไปขายก็เน้นเสื้อผ้าและของใช้มือสองต่างๆเพราะเป็นตลาดของมือสอง แต่เจ้าเหมี่ยวเพื่อนของเราก็ได้นำดอกไม้ประดิษฐ์ต่างๆ และสินค้าที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยไปขายด้วยกัน แถมขายดีซะด้วย ต่อมาเธอก็ได้ไอเดียขายอาหารแห้งวันนี้ก็เลยทำปอเปี๊ยไทย ( Thaimaalaisia Kevätkääryleitä ) และน้ำจิ้มรสเด็ดไปขายเป็นครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำมาสี่สิบชิ้น ขายได้ตั้งสามสิบห้าชิ้น แหม เพื่อนเราทำอร่อยจริงๆและคงทำมาขายเรื่อยๆเนอะ
กิจกรรมที่ท้าทายที่สุดที่ผ่านมาคือ การเดินทางไปเยี่ยมคุณป้าและคุณยายลีซ่าของสามีที่เมือง Iisalmi กับไทเลอร์(ลูกชายวัยหกขวบจอมซน), คุณแม่สามี และ หมาพันธุ์บาเซ็นจิสามตัวของคุณแม่ แม้จะไม่ใช่การเดินทางมาอีซาลมิเป็นครั้งแรกของเราแต่เป็นการมาครั้งแรกโดยปราศจากสามี ลองคิดดูว่าเราจะเกร็งขนาดไหน! อีกทั้งอดกังวลไม่ได้เรื่องการสื่อสารกับคุณยายลีซ่าเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ส่วนเราก็ยังพูดภาษาฟินนิชไม่คล่องและคราวนี้ก็ดันไม่มีล่ามส่วนตัว(สามี)อีกต่างหาก แต่โชคดีที่คุณยายพูดช้ามาก อีกทั้งระดับความสามารถด้านการฟังของเราอยู่ในระดับดีพอใช้ จึงฟังคุณยายเข้าใจเกือบ 70% และยังสามารถเอาตัวรอดไปได้ด้วยการแสดงออกทางสีหน้า พร้อมกับแสดงความเห็นแบบสั้นๆ กระทัดรัด อย่างเช่น ทำหน้าเห็นด้วยพร้อมพูดว่า Totta kai! แน่นอน! หรือ ทำหน้ายิ้มตาใสวิ้งๆแล้วเอ่ย Ihanaa! สวยจัง! ดีจังเลย! หรือ ทำหน้าเหี่ยวส่งสายตาเห็นใจและพูดว่า Oh voi! โธ่เอ๋ย! อ้ออ๊อย! หรือแม้แต่หัวเราะตามคุณยายได้โดยไม่รู้สาเหตุ เป็นต้น (แอ็คติ้งเป็นเลิศคร่ะ) แต่ยังไงก็เห็นได้ชัดว่าคุณยายลีซ่ามีความสุข สดใสขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราเดินทางไปเยี่ยม ไทเลอร์ก็เป็นคนหนึ่งที่เรียกรอยยิ้มให้คุณยาย วันที่เราเดินทางกลับแอบเห็นคุณยายน้ำตาคลอด้วยล่ะ เสียดายที่เราอยู่ตั้งไกล(ขับรถตั้งห้าชั่วโมง) ถ้าอยู่ใกล้กันเราคงจะหาทางมาเยี่ยมคุณยายให้บ่อยกว่านี้
ยังไม่จบนะฮ้า....โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...