วันหนึ่งมีโอกาสแวะไปทำบัตรยืมหนังสือที่ห้องสมุดเขตปาซิล่าที่เค้าจัดชั้นหนังสือวรรณกรรมภาษาไทยร่วมหลายร้อยเล่ม เจ้าหน้าที่ใจดีมากกกกค่ะ ชวนคุยนู่นนี่นั่น ให้เอกสารมาปึกใหญ่เกี่ยวกับกฏระเบียบการใช้บริการจากห้องสมุด รวมทั้งคลับเรียนภาษาฟินนิชแก่ผู้เรียนต่างชาติ เพราะแกคงรู้ว่าทักษะภาษาฟินนิชของดั๊นนั้นด้อยมาก ในคราวนั้นเองดั๊นก็ยืมหนังสืออ่านภาษาไทยมาหนึ่งตั้ง อยากยืมมากกว่านี้ แต่กลัวจะแบกกลับบ้านไม่ไหว ยังไม่ทันกลับถึงบ้านดั๊นก็เปิดอ่านเล่มแรกบนรถไฟนั่นเลยค่ะ อ่านจนวางไม่ลง เกือบลงผิดป้ายแน่ะหนังสือเล่มแรกที่หยิบมาอ่าน คือ หนังสือแนวสารคดี ชื่อ ดอกไม้ใต้ภูเขาน้ำแข็ง เขียนโดย อรสม สุทธิสาคร
ออกตัวก่อนเลยว่า เป็นหนังสือที่เกือบมองข้าม เพราะเดาจากชื่อและปกหนังสือว่าน่าจะเป็นนิยายรัก ที่ไม่ใช่แนวโปรดของตัวเองแต่อย่างใด แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นข้อความมุมล่างซ้ายที่เขียนว่า เรื่องจริงอันขมขื่นของเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ก็พลันต้องพลิกอ่านปกหลัง และพุ่งความสนใจกับคำว่า ทำร้ายทางเพศ ข่มขืน ประจาน ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ไม่รับผิดชอบ เหล่านี้ที่กระตุ้นต่อมกระหายใคร่รู้ขึ้นมาทันที บวกกับความที่เราสนใจประเด็นทางสังคมนี้อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนประตูบานแรกที่เปิดให้เห็นมุมมืดมุมหนึ่งของสังคมซึ่งอันที่จริงมิได้ไกลตัวเราเลยแต่อย่างใด
เกี่ยวกับหนังสือ : ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวของผู้หญิงที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ จากการสัมภาษณ์ นำมาเขียนเป็นเรื่องสั้น รายละหนึ่งเรื่อง ผู้หญิงเหล่านี้บางรายได้รับความกระทบกระเทือนอย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากความช่วยเหลือ จนถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต หลายรายโชคดีได้รับความช่วยเหลือทันการ จึงสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่ที่น่าตกใจคือยังมีเหยื่ออีกหลายรายที่ตกอยู่ในวังวนความทุกข์ ยอมรับสภาพเหยือของความรุนแรงต่อไปเพราะความคิดที่เป็นมายาคติว่า ภรรยาที่ดีจะต้องเชื่อฟังสามี หรือ ผู้ชายเป็นเจ้าของภรรยาของตน เป็นต้นนอกจากนี้ผู้เขียนยังแทรกบทที่เขียนเรื่องราวจากฝ่ายชายผู้ที่ก่อเหตุความรุนแรง และบทที่เป็นเรื่องราวจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว นั่นก็คือ ลูก อีกด้วย ในส่วนบทท้ายหนังสือนั้น ผู้เขียนได้นำบทสัมภาษณ์จาก นักวิชาการ จิตแพทย์ เอ็นจีโอ นักสังคมสงเคราะห์ นักกฎหมาย ผู้ที่คลุกคลีกับปัญหานี้มายาวนาน มาช่วยแจกแจงปัญหา ให้ความรู้ และแนะแนวทางที่จะสามารถป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อันจะนำมาซึ่งความสูญเสีย รวมทั้งแนะนำหน่วยงานต่างๆที่สามารถให้ความช่วยเหลือ ทั้งก่อนและหลังจากที่เหยื่อได้รับความกระทบกระเทือน สิ่งที่ผู้เขียนอยากฝากให้ผู้อ่านได้ขบคิด นั่นคงเป็นคำถามที่ว่า เราจะมีส่วนป้องกันและช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวเหล่านี้อย่างไร และที่สำคัญกว่านั้นคือ เราจะปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันในสังคมมนุษย์ ทั้งในเรื่องเพศ สีผิว และชนชั้น ได้อย่างไร น่าคิดนะเธอ
อ่านจบแล้วได้ข้อคิดมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้เราได้มองเห็นปัญหานี้ในมุมลึกขึ้น และขยายกว้างขึ้นครอบคลุมคนรอบตัว นอกจากนี้ยังทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า สิ่งใดในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนยาวนาน ร่างกายมีเกิดและดับฉันใด อุปมาที่ใจก่อขึ้นอย่างเช่นความรู้สึกและอารมณ์ เช่นอารมณ์รักก็ต้องมีเกิดและดับไปเช่นกันไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันอารมณ์และมีสติ หากไม่ยึดติดกับสิ่งใด ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์ และปล่อยวางได้ง่ายเป็นต้น
ใครที่สนใจ ลองหามาอ่านกันนะคะ
This book is about domestic violence in Thailand. The author is an experienced documentary journalist. She collected stories from the domestic violence victims, mainly women, and wrote this book based on their stories. Some victims suffered from a long cycle of abusive relationship to the point where they no longer wished to live, and sadly took their own lives. Many of them found strength in themselves and walked out of the sick relationship alive. Some decided to seek help and survived, while some didn't even have a chance to be saved in time.
I find this book disturbing, yet interesting not only because it is 'based on the true story', but also because these stories reflect the distorted beliefs which is rooted in Thai culture for a long time, for example 'a man is the owner of his wife'. Hence, he has all the rights to threaten her in many forms, i.e. physically, sexually, emotionally, and economically. The worst part is this almost seems to be accepted both by the society and even the victim herself.
This issue is worth pondering, don't you think?
When I finished this book, one of the core teachings of Buddhism came in my mind, "nothing lasts forever'', indeed! Love, too, will never last. Love can go away and if we resists it will turn into hate and eventually will cause suffering. We should let go in order to be free from all attachment. This is the only way to lessen sufferings in our life.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น